เจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหภาพยุโรป (อียู) นายโดนัลด์ ทัสก์ ประธานสภาอียู และนายฌอง คล็อด ยุงเกอร์ ประธานคณะกรรมาธิการอียูเดินทางจากจีนถึงญี่ปุ่นแล้วในวันนี้ (17 ก.ค.) เพื่อลงนามในข้อตกลงการค้าขนาดใหญ่สุดเท่าที่เคยมีมาของตลาดเดี่ยวรายนี้ พร้อมแสดงให้เห็นการเป็นแนวร่วมเผชิญหน้ากับรัฐบาลสหรัฐ ในการรักษาระเบียบการค้าโลก
แต่เดิมนั้น นายกรัฐมนตรีชินโซ อาเบะ ผู้นำแดนอาทิตย์อุทัยมีกำหนดที่จะลงนามข้อตกลงนี้ ในกรุงบรัสเซลส์ เบลเยี่ยม ตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว แต่นายอาเบะต้องยกเลิกการเดินทาง หลังเกิดเหตุอุทกภัยครั้งใหญ่ในประเทศ ที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 200 ราย
นายมาร์การิทิส ไชนาส โฆษกคณะกรรมาธิการอียู กล่าวว่า การทำข้อตกลงครั้งประวัติศาสตร์ระหว่างอียู กับญี่ปุ่น จะทำให้เกิดเขตเศรษฐกิจขนาดมหึมา และยืนหยัดอยู่ในฝั่งตรงข้ามกับนโยบายปกป้องทางการค้า “อเมริกาที่หนึ่ง” ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ
เขาบอกด้วยว่า ข้อตกลงที่มีการบรรลุความเห็นกันไปตั้งแต่เมื่อเดือนธันวาคมปีที่แล้ว ถือเป็นข้อตกลงการค้าที่มีขนาดใหญ่สุดเท่าที่อียูเคยเจรจามา
“ข้อตกลงนี้จะทำให้เกิดเขตการค้าแบบเปิด ที่ครอบคลุมจีดีพีเกือบ 1 ใน 3 ของโลก”
ทั้ง 2 ฝ่าย ยังจะหาทางนำเสนอการเป็นแนวร่วมต่อต้านการจัดเก็บภาษีทุ่มตลาดต่อเหล็ก และอลูมิเนียมนำเข้าของสหรัฐ ที่รัฐบาลญี่ปุ่นระบุว่าเป็น “เรื่องน่าตำหนิ”
ภายใต้ข้อตกลงที่ทำไว้นั้น อียูจะเปิดตลาดของตัวเองให้กับอุตสาหกรรมรถยนต์ญี่ปุ่น แลกกับการที่ญี่ปุ่นยกเลิกกำแพงการค้าต่อผลิตภัณฑ์การเกษตรจากญี่ปุ่น โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์นม
ก่อนหน้าที่จะมาญี่ปุ่นนั้น นายทัสก์ และนายยุงเกอร์ ได้เดินทางไปเยือนจีน ซึ่งได้มีการเรียกร้องถึงความร่วมมือในการค้าโลก และเตือนถึงการทำสงครามการค้า
นายทัสก์ กล่าวที่จีนว่า เป็นหน้าที่ร่วมกันของยุโรป และจีน รวมถึงสหรัฐ และรัสเซียด้วย ที่จะไม่ทำลายระเบียบการค้าโลก จะต้องร่วมกันพัฒนาให้ดีขึ้น ไม่ใช่มาก่อสงครามการค้า ที่จะกลายเป็นความขัดแย้งอย่างรุนแรง ที่มักเกิดขึ้นบ่อยครั้งในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา
