อีไอซี ประเมินเงินบาทในปี 2020 จะยังเผชิญแรงกดดันด้านแข็งค่าอยู่ต่อเนื่อง แต่ในอัตราที่น้อยลงจากปี 2019 โดยมองว่า เงินบาท ณ สิ้นปี 2020 จะอยู่ในกรอบ 29.5-30.5 บาทต่อดอลลาร์ เนื่องจากไทยยังต้องเผชิญปัจจัยเชิงโครงสร้าง ที่ทำให้ดุลบัญชีเดินสะพัดยังคงเกินดุลในระดับสูง ขณะที่ความต้องการลงทุนในต่างประเทศยังต่ำ (home bias ยังคงสูง) ทำให้มีความต้องการเงินบาทเทียบดอลลาร์ในปริมาณมาก อีกทั้งดัชนีค่าเงินดอลลาร์ มีโอกาสปรับอ่อนค่าลงได้เล็กน้อยทำให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นโดยเปรียบเทียบ
ปัจจัยหนุนที่ช่วยให้เงินบาทจะไม่แข็งค่าขึ้นเร็วมากเท่าในปี 2019 คือ การลงทุนในต่างประเทศของภาคธุรกิจไทย อาจมีแนวโน้มปรับดีขึ้นบ้าง การขายทำกำไรทองคำ มีแนวโน้มลดลง และส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยไทย-สหรัฐ ที่อาจกว้างขึ้นได้
เงินบาทในช่วงสิ้นปีที่ผ่านมาแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็วจนเป็นที่จับตามองจากหลายๆ ฝ่าย
ธปท. ระบุว่าการแข็งค่าอย่างรวดเร็วนี้เป็นผลจากสภาพคล่องในตลาดเงินที่อยู่ในระดับต่ำในช่วงวันหยุดเทศกาล ทำให้การทำธุรกรรมซื้อขายเงินตราไม่สมดุล อีกทั้งยังเป็นผลจากการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐด้วยเช่นกัน ‘อีไอซี’ จึงได้นำเสนอบทวิเคราะห์มุมมองค่าเงินบาทในปี 2020 เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถเตรียมตัวพร้อมรับมือต่อความผันผวนของค่าเงินในระยะต่อไป
อีไอซี ปรับมุมมองค่าเงินบาท ณ สิ้นปี 2020 อยู่ในกรอบ 29.5-30.5 บาทต่อดอลลาร์
จากคาดการณ์เดิม ณ รายงาน Outlook ของไตรมาสก่อนที่ 30 – 31 บาทต่อดอลลาร์ โดยค่าเงินบาทในปี 2019 เฉลี่ยอยู่ที่ 31.05 บาทต่อดอลลาร์ แข็งค่าขึ้น 4.1% จากปี 2018 ขณะที่ดัชนีค่าเงินบาท (Nominal Effective Exchange Rate: NEER) ในปี 2019 เฉลี่ยอยู่ที่ 123.2 ปรับแข็งค่าขึ้น 6.6% จากปี 2018 เช่นกัน สำหรับในในปี 2020 เงินบาทมีแนวโน้มเผชิญแรงกดดันด้านแข็งค่าอยู่ต่อเนื่อง แต่ในอัตราที่น้อยลงจากปี 2019
อีไอซีคาด เงินบาทยังมีแนวโน้มแข็งค่าเทียบกับเงินดอลลาร์จากปัจจัยดังต่อไปนี้
1. ดุลบัญชีเดินสะพัดไทยในปี 2020 จะยังคงเกินดุลสูง
โดยอีไอซีประเมินว่า ดุลบัญชีเดินสะพัดไทยในปี 2020 จะยังเกินดุลในระดับสูงใกล้เคียงในปี 2019 เนื่องจาก 1. มูลค่าการส่งออกและนำเข้าในปี 2020 มีแนวโน้มทรงตัวจากปีก่อน 2. ภาคการท่องเที่ยวจะยังคงขยายตัวแม้ในอัตราที่ชะลอลง และ 3. การลงทุนในประเทศจะยังอยู่ในภาวะซบเซา จึงทำให้โดยรวมแล้ว การเกินดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยแม้จะชะลอลงแต่ยังคงเกินดุลในระดับสูงที่ประมาณ 6% ต่อ GDP (6.3% ต่อ GDP ในปี 2019)
ขณะที่ความต้องการนำเงินออกไปลงทุนต่างประเทศยังมีต่ำ (Home bias ยังคงอยู่ในระดับสูง) จะทำให้ความต้องการเงินบาทเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ ยังมีอยู่มาก นอกจากนี้ การเกินดุลบัญชีเดินสะพัดในระดับสูง เงินทุนสำรองต่อหนี้ต่างประเทศที่มาก จะยังทำให้เงินบาทมีสถานะเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยของภูมิภาค (regional safe haven) ต่อไป ทำให้เงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่าลงน้อยกว่าสกุลเงินอื่นในภูมิภาคในช่วงที่ความเชื่อมั่นลดลง
2. ความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจโลกปรับลดลง ส่งผลให้เงินทุนเคลื่อนย้าย มีแนวโน้มไหลกลับเข้าสู่ตลาดเกิดใหม่ในเอเชีย (EM-Asia) รวมถึงไทย
‘อีไอซี’ มองว่า การเจรจาทางการค้าระหว่างสหรัฐ และจีนที่มีความคืบหน้า (phase 1 deal) ไปนั้น เป็นปัจจัยที่ลดความเสี่ยงด้านต่ำของภาคส่งออก และเศรษฐกิจโดยรวมของกลุ่มประเทศ EM – Asia อย่างมีนัยสำคัญ ส่วนความเสี่ยงจากสถานการณ์ Brexit ก็ปรับดีขึ้นเช่นกัน หลังพรรค Conservative ชนะการเลือกตั้งด้วยเสียงข้างมาก ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้ความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มปรับลดลงในปี 2020 อีไอซีมองว่า จะส่งผลให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนปรับสูงขึ้น และมีเงินทุนไหลกลับเข้ากลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ได้
3. ดัชนีค่าเงินดอลลาร์ มีโอกาสปรับอ่อนค่าลงได้เล็กน้อย ส่งผลให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นโดยเปรียบเทียบ
‘อีไอซี’ พบว่าในเวลาที่เศรษฐกิจโลกปรับแย่ลง จะทำให้ความต้องการถือเงินดอลลาร์เพิ่มขึ้น เนื่องจากเป็นสกุลเงินหลักของโลก และมีความเสี่ยงต่ำ ทั้งนี้ในระยะต่อไปที่เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มปรับดีขึ้น ความเสี่ยงของการเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยของโลกลดลง ทำให้ความต้องการถือครองเงินดอลลาร์ ปรับลดลงมา
จากข้อมูลปริมาณสัญญาที่เก็งกำไรในเงินดอลลาร์ เริ่มสะท้อนให้เห็นแนวโน้มนี้ในไตรมาสสุดท้ายของปี 2019 บ้างแล้ว ‘อีไอซี’ มองว่าเงินดอลลาร์จะไม่อ่อนค่าลงมากนัก ถึงแม้ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (Federal Reserve) จะมีแนวโน้มคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายตลอดปี 2020 (จากที่เคยมองว่ามีโอกาสลดดอกเบี้ยได้ 1 ครั้ง) แต่ธนาคารกลางสำคัญอื่น ๆ มีแนวโน้มดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายกว่า
โดยธนาคารกลางยุโรป (ECB) และธนาคารกลางญี่ปุ่น (Bank of Japan: BOJ) มีแนวโน้มคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปี 2020 แต่จะยังดำเนินมาตรการผ่อนคลายทางการเงินผ่านการทำ quantitative easing (QE) ต่อไป นอกจากนี้ โอกาสที่ ECB และ BOJ จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปี 2020 ก็มีสูงกว่า Fed
ดังนั้นจึงมีโอกาสที่เงินยูโร และเงินเยนจะอ่อนค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์ได้ นอกจากนี้ ความไม่แน่นอนของการเจรจาเขตการค้าเสรี (FTA) ระหว่างอังกฤษ และยุโรปอาจทำให้เงินยูโร และเงินปอนด์อ่อนค่าลงเทียบกับดอลลาร์
4. ข้อจำกัดของ ธปท. ในการผ่อนคลายนโยบายการเงิน และเข้าดูแลอัตราแลกเปลี่ยน
การผ่อนคลายนโยบายการเงิน เช่น การลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายมีส่วนช่วยให้อัตราแลกเปลี่ยนของประเทศนั้น ๆ อ่อนค่าลงได้ ด้วยขีดความสามารถในการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ ธปท. ที่มีจำกัดมากขึ้นจากอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำสุดในประวัติการณ์ ทำให้ความสามารถในการดูแลค่าเงินบาทผ่านช่องทางนี้ลดลง นอกจากนี้ ไทยยังต้องเผชิญต่อความเสี่ยงที่อาจถูกจัดเป็นประเทศผู้บิดเบือนค่าเงิน (currency manipulator) โดยกระทรวงการคลังของสหรัฐ จึงทำให้ ธปท. อาจไม่สามารถดูแลค่าเงินบาทได้มากเท่ากับในอดีต ดังนั้นโอกาสที่เงินบาทต้องเผชิญแรงกดดันด้านแข็งค่าจึงจะมีอยู่ต่อไป
5. เงินหยวนที่มีแนวโน้มแข็งค่า อาจทำให้ค่าเงินในภูมิภาครวมถึงเงินบาทปรับแข็งค่าขึ้นตาม
ในช่วงที่สงครามการค้าทวีความรุนแรง เงินหยวนปรับอ่อนค่าลงค่อนข้างมาก ทำให้สินค้าจีนมีความได้เปรียบในการแข่งขันด้านราคาต่อประเทศอื่น ซึ่งส่งผลต่อแนวโน้มการส่งออกและเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าคู่แข่งของจีน ค่าเงินสกุลเงินอื่นๆ ในภูมิภาคโดยเฉพาะประเทศที่ส่งออกสินค้าคล้ายคลึงกับจีนจึงปรับอ่อนค่าลงตาม
ที่ผ่านมาก็พบว่าเงินบาทปรับอ่อนค่าตามหยวนในช่วงสงครามการค้าทวีความรุนแรงเช่นกัน สำหรับในระยะต่อไปที่สงครามการค้ามีแนวโน้มลดความรุนแรงลง ความเชื่อมั่นของนักลงทุนโลกมีแนวโน้มปรับสูงขึ้น จึงทำให้เงินหยวนมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น และด้วยเสถียรภาพต่างประเทศของไทย ที่แข็งแกร่งจะยิ่งทำให้เงินบาทสามารถแข็งค่าขึ้นตามเช่นกัน
อีไอซีประเมินว่า การแข็งค่าของเงินบาทในปี 2020 จะลดน้อยลงเมื่อเทียบกับปี 2019 เนื่องจาก
1. ดุลบัญชีการเงินไทย (financial account) อาจขาดดุลมากขึ้นได้เล็กน้อย
จากแนวโน้มการออกไปลงทุนต่างประเทศที่เพิ่มสูงขี้นในช่วงห้าปีที่ผ่านมา (ตั้งแต่ปี 2015) อีไอซีคาดว่า ในปี 2020 มีโอกาสที่ภาคธุรกิจไทยจะออกไปลงทุนต่างประเทศมากขึ้น โดยปัจจัยสนับสนุนให้ภาคเอกชนออกไปลงทุนต่างประเทศมากขึ้น ส่วนหนึ่งจะมาจากอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทยที่ยังอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาค รวมถึงความไม่แน่นอนภายในประเทศที่ยังมีค่อนข้างมาก
นอกจากนี้ การผ่อนคลายกฎเกณฑ์การออกไปลงทุนของ ธปท. น่าจะเป็นปัจจัยสนับสนุนให้ภาคธุรกิจไทยมีแนวโน้มออกไปซื้อ/ควบรวมกิจการต่างประเทศ รวมถึงช่วยให้การลงุทนในหลักทรัพย์ต่างประเทศเพิ่มขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปได้ อีไอซี ประเมินว่าดุลบัญชีการเงินไทยอาจขาดดุลมากขึ้น จะช่วยลดแรงกดดันต่อเงินบาทผ่านการเกินดุลการชำระเงิน (balance of payment) ที่ลดลง
2. แรงกดดันจากการขายทำกำไรทองคำมีแนวโน้มลดลง
ในช่วงที่เศรษฐกิจโลกเผชิญกับความเสี่ยงที่สูงขึ้น ความเชื่อมั่นของนักลงทุนปรับลดลง (risk-off sentiment) และหันไปถือครองสินทรัพย์ปลอดภัย เช่น ทองคำ มากขึ้น ราคาทองคำจึงปรับสูงขึ้นในช่วงดังกล่าว ซึ่งนักลงทุนทองคำในไทยบางส่วนมักจะขายทองคำออกสู่ตลาดทองคำโลกเพื่อทำกำไรจากราคาที่ปรับขึ้น ทำให้มีความต้องการแลกเงินดอลลาร์สหรัฐที่ได้จากการขายทองคำกลับมาเป็นเงินบาท ค่าเงินบาทจึงมักปรับแข็งค่าขึ้นในช่วงดังกล่าวเช่นกัน
อย่างไรก็ดี ในช่วงที่ความเสี่ยงของเศรษฐกิจโลก มีแนวโน้มปรับลดลงในปีหน้า การเพิ่มขึ้นของราคาทองคำอาจมีแนวโน้มชะลอลงหรือปรับลดลงได้ จึงทำให้แรงกดดันต่อเงินบาทจากปัจจัยนี้มีน้อยลง การผ่อนคลายกฎเกณฑ์ด้านการแลกเปลี่ยนเงินของ ธปท. ที่อนุญาตให้ผู้ค้าทองคำ สามารถเก็บเงินตราต่างประเทศจากการขายทองคำไว้ในบัญชี FCD โดยไม่ต้องแลกเป็นบาทเพื่อรอลงทุนในครั้งต่อไป จะช่วยลดแรงกดดันด้านแข็งค่าของเงินบาทในปีหน้าได้เพิ่มขึ้น
3. แนวโน้มส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยนโยบายระหว่างไทยและประเทศเศรษฐกิจหลัก
หากเศรษฐกิจไทยปรับแย่ลงกว่าที่ กนง. คาดจนทำให้ต้องมีการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มเติมเพื่อพยุงเศรษฐกิจ ก็จะทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลระยะสั้นของไทยยิ่งปรับลดลงต่ำกว่าพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ ทำให้มีโอกาสที่นักลงทุนอาจเลือกออกไปลงทุนในสินทรัพย์ประเทศอื่นที่มีผลตอบแทน (carry return) สูงกว่า เงินทุนเคลื่อนย้ายที่คาดว่าอาจไหลเข้าไทยได้ก็อาจมีน้อยลงหรืออาจมีการไหลออก เงินบาทจึงอาจอ่อนค่าได้
อย่างไรก็ดี การศึกษาของอีไอซีที่ผ่านมาพบว่า ปัจจัยด้านส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยมีผลต่อค่าเงินบาทเพียงเล็กน้อย และมีอิทธิพลน้อยกว่าปัจจัยเชิงโครงสร้าง เช่น ขนาดดุลบัญชีเดินสะพัด
โดยสรุป อีไอซี ประเมินเงินบาทในปี 2020 จะยังเผชิญแรงกดดัน แข็งค่าอยู่ต่อเนื่อง แต่ในอัตราที่น้อยลงจากปี 2019 โดยมองว่า เงินบาท ณ สิ้นปี 2020 จะอยู่ในกรอบ 29.5-30.5 บาทต่อดอลลาร์