General

เปิดแผน ‘อคส.’ เร่งสร้างรายได้ ล้างขาดทุนสะสม 160 ล้าน

อคส.ลั่นเดินหน้าปั้นรายได้ ทั้งจากการขายสินค้าเข้าห้าง ขายข้าวเรือนจำ ควบคู่พัฒนาสินทรัพย์ที่มีเพื่อสร้างรายได้ หวังลดขาดทุนสะสม 4 ปี กว่า 160 ล้านบาท

พ.ต.อ.รุ่งโรจน์ พุทธิยาวัฒน์ รักษาการแทนผู้อำนวยการองค์การคลังสินค้า (อคส.) เปิดเผยว่า อคส. ได้วางเป้าหมายที่จะลดภาวะการขาดทุนที่สะสมต่อเนื่องมา 4 ปี นับแต่ปี 2559 โดยปัจจุบันมีภาระขาดทุนสะสมรวมประมาณ 160 ล้านบาท ด้วยการสร้างรายได้เพิ่มขึ้น จากการนำสินทรัพย์ทั้งคลังสินค้ามาพัฒนาเพื่อสร้างรายได้ และการจำหน่ายสินค้าที่อคส.ผลิตเอง เช่น ข้าวสารบรรจุถุง อาหารสด ซึ่งจะขยายช่องทางจำหน่ายเพิ่มมากขึ้น

อคส.

สำหรับแผนการสร้างรายได้จากสินค้าของ อคส.นั้น จะเริ่มจากการขยายช่องทางจำหน่ายข้างสารบรรจุถุงไปยังห้างสรรพสินค้าทั่วประเทศ แต่ต้องศึกษากฏหมายอย่างรอบคอบ เพื่อไม่ให้เป็นการจำหน่ายสินค้าหรือทำธุรกิจแข่งกับเอกชน โดยคาดว่า หากสามารถเพิ่มช่องทางจำหน่ายสินค้าได้กว้างขึ้น จะส่งผลให้รายได้เติบโตเพิ่มขึ้น 3 เท่าตัว หรือจาก 60 ล้านบาทเพิ่มเป็นปีละ 180 ล้านบาท

ปัจจุบัน อคส.มีรายได้หลักจากการเช่าคลัง เฉลี่ยปีละ 60 ล้านบาท รายได้จากการขายข้าวสารบรรจุถุงแบรนด์ อคส. ปีละ 20-30 ล้านบาท และรายได้จากการเข้าร่วมประมูลการจำหน่ายข้าวสาร อาหารสดให้กับหน่วยงานรัฐ เช่น เรือนจำ สถานศึกษา โรงเรียนทหาร เป็นต้น แต่ยังไม่เพียงพอที่จะเลี้ยงองค์กรซึ่งมีค่าใช้จ่ายทั้งค่าบริหารจัดการต่าง ๆ เฉลี่ยปีละ 120 ล้านบาท จึงส่งผลให้ประสบปัญหาขาดทุนต่อเนื่อง

พ.ต.อ.รุ่งโรจน์ พุทธิยาวัฒน์
พ.ต.อ.รุ่งโรจน์ พุทธิยาวัฒน์

นอกจากนี้ ล่าสุด อคส.ยังได้ชนะประมูลจำหน่ายอาหารสดและข้าวสาร อคส.ให้กับกรมราชทัณฑ์ (เรือนจำ) จำนวน 46 แห่งจากเรือนจำทั่วประเทศ 148 แห่ง ซึ่งมีกำหนดจะเริ่มส่งมอบเร็ว ๆ นี้ โดยจะส่งผลให้มีรายได้ในส่วนนี้เพิ่มขึ้นเป็น 1,004 ล้านบาทในปีงบประมาณ 2563 และมีกำไรประมาณ 30 ล้านบาท รวมถึงมีรายได้จากการจำหน่ายข้าวสารอาหารสดให้กับสถานศึกษา หน่วยงานทางทหารประมาณ 170-180 ล้านบาท

ขณะเดียวกัน ยังมีแผนเพิ่มรายได้จากการให้เช่าคลังสินค้าที่มีอยู่ โดยมีแผนจะบูรณะซ่อมแซมคลังสินค้าที่ชำรุด ซึ่งเตรียมจะเสนอของบประมาณวงเงิน 8 ล้านบาท เพื่อซ่อมแซมหลังคาคลังราษฎร์บูรณะ รองรับการเปิดพื้นที่เช่าคลังให้เช่าต่อไป

ข้าว

ในส่วนของการพัฒนาพื้นที่คลังธนบุรีเป็นเอเชียทีค 2 นั้น ปัจจุบันอยู่ระหว่างการสอบถามความชัดเจนไปยังสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) กรณีความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน (PPP) ว่าขัดกฎหมายการ พ.ร.บ.การร่วมทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน พ.ศ. 2562 หรือไม่ ซึ่งระหว่างรอความชัดเจน ได้เชิญตลาดสุวรรณเกลียวทอง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา มาลงทุนทำตลาดในพื้นที่ว่าง 3 ไร่ หน้าคลังธนบุรี คาดว่าจะส่งผลให้มีรายได้จากส่วนนี้เพิ่มจาก 50-60 ล้านบาท เป็น 100 ล้านบาทต่อปีจากการพัฒนาเป็นตลาด

Avatar photo