ออสเตรเลียสั่งอพยพชุมชนชายฝั่งด่วน ก่อนเจอคลื่นความร้อน หวั่นทำไฟป่ารุนแรงขึ้น
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ในช่วงเช้าวันนี้ (2 ม.ค.) กรมดับเพลิงท้องถิ่น รัฐนิวเซาท์เวลส์ ของออสเตรเลีย ได้ประกาศ “เขตปลอดนักท่องเที่ยว” ระยะทางราว 200 กิโลเมตร จากชายหาดยอดนิยม บริเวณอ่าวเบทแมน ไปตามแนวชายฝั่งทะเลทางทิศตะวันตก และตะวันออก จนสุดเขตติดต่อกับรัฐวิคตอเรีย พร้อมขอให้ชาวเมืองอพยพออกจากพื้นที่เสี่ยงที่จะเกิด หรือถูกไฟป่าลุกลาม
บรรดานักท่องเที่ยวได้รับคำเตือนให้ออกจากพื้นที่ก่อนวันเสาร์นี้ (4 ม.ค.) ซึ่งเป็นวันที่คาดว่าจะมีกระแสลมแรง และอุณหภูมิปรับสูงขึ้นไปอยู่เหนือระดับ 40 องศาเซลเซียส
สภาพอากาศดังกล่าว อาจทำให้เกิดไฟป่าที่มีความอันตรายขึ้นมาได้ ซึ่งเจ้าหน้าที่ระบุว่า ถ้าไม่รุนแรงกว่า ก็อาจจะเทียบเท่ากับระดับไฟป่าที่เกิดขึ้นเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา (31 ธ.ค.) อันเป็นวันที่มีผู้เสียชีวิตจากเหตุไฟป่ามากสุด นับแต่ที่เหตุไฟป่าครั้งล่าสุดนี้เกิดขึ้นมานานหลายสัปดาห์แล้ว
ในวันดังกล่าว ไฟป่าที่โหมกระหน่ำลุกลามไปในหลายพื้นที่ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 8 ราย และยังทำให้นักท่องเที่ยว และชาวเมืองจำนวนมากติดค้างอยู่ตามเมืองติดทะเล ต้องใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวถึง 2 วัน ในแบบที่ไม่มีไฟฟ้า หรือการสื่อสาร เพราะโดนไฟป่าล้อมเมือง ตัดทางเข้าออกทั้งหมด ก่อนที่เจ้าหน้าที่จะดำเนินการควบคุมไฟป่าบนถนนบางเส้นในภูมิภาคนี้ ให้ปลอดภัยสามารถใช้เดินทางได้ชั่วคราว
แอนดรูว์ คอนสแตนซ์ รัฐมนตรีคมนาคม รัฐนิวเซาท์เวลส์ กล่าวว่า คำสั่งอพยพข้างต้น อาจทำให้เกิดการอพยพครั้งใหญ่สุดในภูมิภาคนี้ โดยที่ผู้คนหลายพันคนเตรียมตัวที่จะออกจากเมือง ก่อนหน้าวันที่อาจเกิดไฟป่าลุกลามขึ้นอีกครั้ง
ทางด้าน ร็อบ โรเจอร์ส รองผู้บัญชาการหน่วยดับเพลิงนิวเซาท์เวลส์ กล่าวว่า พนักงานดับเพลิงยังไม่สามารถดับ หรือแม้กระทั่งควบคุมไฟที่ลุกลามไปทั่วได้
“ข้อความที่เราต้องการส่งออกไป คือ เรามีไฟมากเกินไปในพื้นที่ดังกล่าว เราไม่มีความสามารถมากพอที่จะควบคุมไฟเหล่านี้ได้ เราแค่ต้องการให้แน่ใจว่า จะไม่มีประชาชนอยู่เผชิญหน้ากับไฟเหล่านี้”
อย่างไรก็ดี เจ้าหน้าที่ยังไม่สามารถเข้าถึงชุมชนท้องถิ่นจำนวนหนึ่งได้ อย่างเช่นเมืองเจนัว ในรัฐวิคตอเรีย ทั้งยังมีความกังวลถึงคนที่ยังสูญหายไป 5 ราย จากเหตุไฟป่าลุกลามครั้งใหญ่ก่อนหน้านี้ไม่นานนัก
เจ้าหน้าที่ยืนยันว่า มีบ้านที่ถูกไฟเผาถึง 400 หลังแล้ว และคาดว่าตัวเลขนี้จะเพิ่มสูงขึ้นอีก เมื่อพนักงานดับเพลิงสามารถเข้าถึงพื้นที่ชุมชนที่ถูกไฟป่าเผา และยังถูกตัดขาดอยู่