Sport

เรื่องจริงยิ่งกว่านิยาย! ‘ณัฐวุฒิ’เผยเบื้องหลังชีวิตนักสู้สุดรันทด

ณัฐวุฒิ สุขสุ่ม กองหน้าทีมชาติไทย รุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี เปิดใจถึงเบื้องหลังชีวิตความเป็นนักสู้ไม่รู้จักยอมแพ้ ก่อนได้รับโอกาสจาก อากิระ นิชิโนะ กลับมาติดทีมชาติไทย อีกครั้งในชุดเตรียมทีมสู้ศึกชิงแชมป์เอเชีย 2020

80584618
ภาพจาก : @changsuek

แข้งวัย 22 ปี เคยติดทัพช้างศึกรุ่นอายุไม่เกิน 21 และ 23 ปี ก่อนจะหายจากสารบบทีมชาติไทยร่วมปี อย่างไรก็ตามกลับมามีชื่อเป็น 1 ใน 23 แข้งชุดเตรียมทีมสู้ศึกชิงแชมป์เอเชีย รุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี 2020 หลังทำผลงานได้โดดเด่นกับ เอฟซี โตเกียว รุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี ในเจลีก 3 โดยยิงไปทั้งสิ้น 3 ประตู

“ช่วงที่ผ่านมาผมอยากกลับมาเล่นให้ทีมชาติมากๆ ทุกครั้งที่มีการเรียกตัว ผมจะเฝ้ารอตลอด แต่พอไม่มีชื่อก็คิดว่า คงยังไม่ดีพอที่จะช่วยเปลี่ยนแปลง สิ่งที่ทำได้คือกลับไปซ้อมให้หนักกว่าเดิม และหวังว่าสักวันหนึ่งจะกลับมาติดทีมชาติอีกครั้ง”

“ทุกรอบที่มีเรียกตัวผมอยากมีชื่อมาตลอดรวมถึง ซีเกมส์ ครั้งล่าสุดด้วยที่ผมอยากเอาประสบการณ์จากญี่ปุ่นมาช่วยทีมชาติ เพราะความฝันของผมตั้งแต่เด็กๆคือการได้เล่นในนามทีมชาติไทย”

อดีตกองหน้า เอฟซี โตเกียว ยังได้เล่าถึงชีวิตความลำบากในวัยเด็กก่อนเติบโตเป็นนักเตะอาชีพ และก้าวสู่เส้นทางทีมชาติว่า

“สมัยเด็กๆชีวิตผมลำบากมาก พ่อแม่รับจ้างทำงานก่อสร้างได้เงินเป็นรายวัน บางทีไม่มีงานพ่อกับแม่ก็ต้องเข้าป่าไปเก็บผักมากิน ผมก็พอช่วยงานเขาเท่าที่พอจะทำได้ ผมมีฟุตบอลเป็นเพื่อน ผมจะชอบเล่นฟุตบอลคนเดียวแล้วจินตนาการว่ากำลังลงเล่นท่ามกลางคนเยอะๆ การติดทีมชาติจึงเป็นความฝันของผมมาตั้งแต่เด็กๆ”

“พ่อกับแม่ผมติดสุรา เวลาดื่มเขาจะทะเลาะกัน คนรอบข้างก็จะเยาะเย้ยพ่อกับแม่ผมตลอด ผมไม่ชอบ และอยากลบคำสบประมาทที่เขาว่าพ่อแม่เลยตัดสินใจออกมาทำตามความฝันของตัวเองเข้ามากรุงเทพฯเพื่อเรียนต่อที่สุรศักดิ์มนตรี แต่ก็ไม่ได้ราบรื่น เพราะผมเป็นเด็กบ้านนอกเข้าเมืองเงินทองก็ไม่ค่อยมี แต่พอมีรายได้จากการเล่นฟุตบอลเดินสาย และข้าวเย็นฟรีจากโรงเรียนทำให้แบ่งเบาภาระที่บ้านได้ จริงๆตอนนั้นขนาดรองเท้าผมยังต้องขอยืมจากรุ่นน้องมาใส่แข่งเลย”
ณัฐวุฒิ สุขสุ่ม ไต่เต้าจากฟุตบอลนักเรียน ก่อนจะเข้าสู่เส้นทางลูกหนังอาชีพในขณะที่ยังเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย เมื่อได้รับการเซ็นสัญญาเข้าอคาเดมีของ ทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด ซึ่งเป็นพันธมิตรกับโรงเรียนสุรศักดิ์มนตรีในเวลานั้น ก่อนต่อมาจะได้รับโอกาสครั้งใหญ่บินไปค้าแข้งกับ เอฟซี โตเกียว ที่ประเทศญี่ปุ่น ช่วงฤดูกาลที่ผ่านมา

“วันที่ได้สัญญาผมเตือนตัวเองเสมอว่า ต้องไม่เหลิง อย่าลืมว่าเรามาจากไหน ทุกครั้งต้องซ้อมให้เต็มที่ไม่ว่อกแวก ผมยากทำให้ดีขึ้นทุกวัน อยากมีเงินเยอะๆเพื่อกลับไปสร้างบ้านให้พ่อแม่ มาถึงตอนนี้ผมมองว่า การติดทีมชาติคือรางวัลนะ เพราะหลักๆแล้วผมอยากมีเงินเพื่อให้พ่อแม่อยู่ดีกินดีมากกว่า เพราะเขาลำบากเพื่อผมมาเยอะแล้ว”

“ก่อนหน้านี้การได้ไปเล่นที่ญี่ปุ่นไม่เคยอยู่ในหัวผมเลย พอโอกาสมาถึงผมบอกตัวเองทันทีว่า เราต้องเก็บเกี่ยวประสบการณ์ให้ได้มากที่สุด ต้องไม่ทำให้ประเทศไทยเสียหาย เพราะถึงผมไปคนเดียว แต่ผมแบกคำว่าประเทศไทยไปด้วย ต้องทำให้คนญี่ปุ่นรว่าคนไทยก็ไม่เคยยอมแพ้ ไปจริงๆอาจมีเหงาบ้างเพราะใช้ชีวิตคนเดียว แต่ผมตั้งสมาธิกับฟุตบอลมากกว่าเต็มที่ตลอดเพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์ให้ได้มากที่สุด แต่ก็โชคดีที่เวลาซ้อมเสร็จ ทีมจะเทรนพิเศษให้ผมทุกครั้ง”

“มาถึงตอนนี้ผมมองว่าตัวเองเปลี่ยนไปเยอะมากทั้งทัศนคติการเล่น สภาพร่างกาย รวมถึงความเข้าใจฟุตบอล และการเล่นเป็นทีม ที่ญี่ปุ่นเขาให้ความสำคัญเรื่องนี้มากต้องไม่เห็นแก่ตัวทุกคนต้องเล่นเพื่อทีม ซึ่งผมคิดว่าประสบการณ์ที่ญี่ปุ่นน่าจะช่วยเรื่องการปรับตัวได้ดีขึ้นเรื่องแทคติก และสไตล์การเล่นของโค้ช(อากิระ นิชิโนะ)”

ขณะเดียวกันได้เปิดเผยถึงความกดดันที่ต้องเจอในช่วงค้าแข้งกับ เอฟซี โตเกียว ว่า “ช่วงแรกที่อยู่ญี่ปุ่น บางคนเขามองเราต่ำเหมือนด่าเรา ผมฟังไม่ออกหรอก แต่จากสีหน้า และท่าทางเรารู้สึกได้ว่าเขาไม่พอใจเรา เราก็ตัวคนเดียวมันยากพอสมควร แต่ผมบอกตัวเองต้องไม่ยอมแพ้จะไม่ให้เขาด่าเราแบบนี้ไปตลอด เราต้องปรับตัวให้ได้ พอผมปรับตัวได้ มีครั้งหนึ่งที่ผมยิงประตูได้คนที่เขาเคยไม่ชอบเราก็วิ่งมาดีใจด้วย มันทำให้รู้สึกดีว่า สุดท้ายแล้วเราทำได้เหมือนกัน”

“มองย้อนกลับไปสิ่งที่พยายามต่อสู้มาจนได้กลับมาติดทีมชาติอีกครั้งมันมีความหมายกับผมมาก ถือเป็นความภูมิใจของผมครั้งหนึ่งในชีวิต ผมมองว่าตัวเองเหมือนน้ำครึ่งแก้ว เพราะผมพร้อมเปิดรับทุกสิ่งทุกอย่างที่เข้ามาทั้งรูปแบบการเล่นใหม่ๆ แทคติกโค้ช ผมพยายามเรียนรู้ต่อไปให้เต็มที่”

“การกลับมาครั้งนี้เป็นรายการที่ใหญ่ที่สุดสำหรับผม ทุกคนคาดหวังอยากติดเป็น 23 คนสุดท้าย ส่วนตัวผมเองก็หวังเป็นหนึ่งในนั้นเพื่อลงเล่นในชิงแชมป์เอเชีย และต่อยอดไปโอลิมปิกเกมส์ ที่ญี่ปุ่น”

“ผมหวังจะทำให้เต็มที่ที่สุดเพื่อให้โค้ชเห็นว่า ผมมีดีพอที่จะเป็นส่วนหนึ่งของทีม” ณัฐวุฒิ กล่าวทิ้งท้าย

สำหรับ ทีมชาติไทยรุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี จะเก็บตัวฝึกซ้อมต่อเนื่อง ก่อนจะตัดรายชื่อผู้เล่น 23 คน สุดท้ายต่อไป โดยมีโปรแกรมอุ่นเครื่องสองนัดพบ ทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด และ ซาอุดีอาระเบีย ก่อนจะประเดิมนัดแรกพบกับ ทีมชาติบาห์เรน ในวันที่ 8 มกราคม 2563 เวลา 20.15 น. ที่ สนามราชมังคลากีฬาสถาน

Avatar photo