เด็กไทยเล่นเน็ต 35 ชม.ต่อสัปดาห์
เป็นตัวเลขที่ไม่สวยงามเท่าไร สำหรับรายงาน The 2018 DQ Impact Study ที่พบว่าเด็กไทยเล่นอินเทอร์เน็ตสูงกว่าค่าเฉลี่ยโลกถึงสามชั่วโมง แถมยังเล่นโซเชียลมีเดียหนักข้อ เพิ่มโอกาสเสี่ยงเจอภัยออนไลน์ถึง 60%
โดยรายงานฉบับดังกล่าวถูกจัดทำขึ้นในระหว่างเดือนพฤษภาคม – เดือนธันวาคม ปี 2560 จากความร่วมมือกันของ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (ดีป้า) กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม, สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) กระทรวงศึกษาธิการ และ DQ institute ประเทศสิงคโปร์ โดยใช้กลุ่มตัวอย่างของเด็กและเยาวชนไทยที่มีอายุ ระหว่าง 8 ถึง 12 ปี จำนวน 1,300 คน ทั่วประเทศ ผ่านแบบสำรวจออนไลน์ DQ Screen Time Test ชุดเดียวกันกับเด็กประเทศอื่นๆ รวมกลุ่มตัวอย่างทั่วโลกทั้งสิ้น 37,967 คน
WEF Global ผู้เผยแพร่งานวิจัยชิ้นนี้ระบุว่า เด็กไทยมีโอกาสเสี่ยงภัยจากออนไลน์ถึง 60% ขณะที่ค่าเฉลี่ยทั่วโลกอยู่ที่ 56% ทั้งนี้หากเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านจะพบว่าฟิลิปปินส์มีความเสี่ยงสูงกว่าที่ 73% ตามมาด้วยอินโดนีเซีย 71% และเวียดนาม 68% ส่วนสิงคโปร์อยู่ที่ 54%
ด้านนายณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (ดีป้า) กล่าวว่า การเติบโตที่รวดเร็วของเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตในมือถือ นำไปสู่ความรวดเร็วของการรับสื่อ จึงทำให้ยากที่เด็กจะคัดกรองหรือแยกแยะเนื้อหาที่สร้างสรรค์และเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมออกจากกันได้ นอกจากนั้น รายงานดังกล่าวพบว่าเด็กไทยใช้เวลากับหน้าจอท่องอินเทอร์เน็ต 35 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยโลกถึง 3 ชั่วโมง โดยแบ่งเป็นเข้าอินเทอร์เน็ตผ่านสมาร์ทโฟนสูงสุด (73%) และรองลงมาคือคอมพิวเตอร์โรงเรียน (48%)
โดยกิจกรรมที่เด็กไทยนิยมใช้เมื่อเข้าอินเทอร์เน็ตมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่
- การดูวีดิโอออนไลน์ (73%)
- การค้นหาข้อมูล (58%)
- การฟังเพลง (56%)
- การเล่นเกม (52%)
- การรับส่งอีเมลหรือแชทข้อความผ่านแอพลิเคชั่นบนมือถือ (42%)
โดยในส่วนนี้พบด้วยว่าเด็กไทยใช้โซเชียลมีเดียถึง 98% ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกถึง 12% และในจำนวนนี้มีการใช้งานอย่างสม่ำเสมอ (Highly Active User) มากถึง 50% เช่น โพสรูป โพสคอมเมนต์ ซื้อหรือขายของออนไลน์ สำหรับโซเชียลมีเดียที่เด็กไทยนิยมใช้มากที่สุด ได้แก่
- YouTube 77%
- Facebook 76%
- Line 61%
- Instagram 24%
- Twitter 12%
- Snapchat 4%
ทั้งนี้ ยังพบด้วยว่าภัยออนไลน์หรือปัญหาจากการใช้ชีวิตดิจิทัลของเด็กไทยที่พบมากที่สุดมี 4 ประเภท ได้แก่
- การกลั่นแกล้งทางออนไลน์ หรือ Cyber bullying (49%)
- การเข้าถึงสื่อลามกและพูดคุยเรื่องเพศกับคนแปลกหน้าในโลกออนไลน์ (19%)
- ติดเกม (12%)
- ถูกล่อลวงออกไปพบคนแปลกหน้า (7%)
โดยในส่วนของ Cyber bullying ของเด็กไทยสูงกว่าค่าเฉลี่ยโลกที่อยู่ที่ 47% ซึ่งเป็นไปได้ว่า การ Cyber bullying (เช่น การด่าทอกันด้วยข้อความหยาบคาย การตัดต่อภาพ สร้างข้อมูลเท็จ รวมไปถึงการตั้งกลุ่มออนไลน์กีดกันเพื่อนออกจากกลุ่ม ฯลฯ) เหล่านี้กำลังเป็นอีกผลิตผลจากอินเทอร์เน็ต ที่เป็นปัญหาซึมลึกส่งผลต่อปัญหาสังคมไทย และเริ่มทวีความรุนแรงมากขึ้น
นอกจากนั้นยังพบด้วยว่าในส่วนของครู 214 คนที่เข้าร่วมในการสำรวจด้วยนั้น มีคุณครูจำนวน 21 คนไม่สามารถสังเกตถึงภัยออนไลน์ อย่างCyber bullying ที่เกิดขึ้นกับนักเรียนได้ แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นที่น่ายินดีว่าครูมีการตื่นตัวที่จะให้ความรู้เรื่องทักษะชีวิตในโลกยุคดิจิทัล โดยเห็นความสำคัญของหลักสูตรพลเมืองดิจิทัล (Digital Citizenship) ว่าควรมีอยู่ในบทเรียนถึง 88%
โดยงานวิจัยชิ้นนี้ชี้ว่าทักษะหนึ่งที่จำเป็นคือเรื่องของความฉลาดทางดิจิทัล (Digital intelligence Quotient : DQ) ที่ต้องส่งเสริมอย่างถูกต้องและต่อเนื่องในเด็ก ไม่ว่าจะเป็นการรู้จักยับยั้งชั่งใจ คิดวิเคราะห์ไตร่ตรอง การรู้จักควบคุมอารมณ์ให้เหมาะสม การมีวินัยรับผิดชอบ เรียนรู้เป็น และมีคุณธรรมในการใช้ชีวิตในโลกออนไลน์ รวมถึงผู้เกี่ยวข้องในประเทศที่ต้องมีความตระหนักใน DQ ด้วยเช่นกัน จึงจะสามารถนำพาประเทศให้ก้าวข้ามสถานการณ์ไม่ปลอดภัยเช่นนี้ได้
ติดตามอ่านบทความเพิ่มเติมทางด้านเทคโนโลยีได้ในหมวดหมู่ Technology