ศาลพิเศษปากีสถานตัดสินประหารชีวิต อดีตประธานาธิบดีเปอร์เวซ มูชาราฟ ในข้อหากบฎ และล้มล้างรัฐธรรมนูญ
มูชาราฟ ขึ้นปกครองปากีสถาน จากการทำรัฐประหารเมื่อปี 2542 ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีมาจนถึงปี 2551 โดยในปี 2550 ก่อนที่เขาจะยอมลาออกนั้น มูชาราฟได้ประกาศภาวะฉุกเฉินขึ้นในประเทศ จนทำให้เกิดการประท้วงต่อต้านเขาอย่างรุนแรง โดยในขณะนี้เขาอยู่ระหว่างการรักษาตัวในนครดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
ทางด้านกองทัพปากีสถาน ระบุว่า คำตัดสินดังกล่าว ที่ทำให้มูชาราฟกลายเป็นอดีตผู้บัญชาการกองทัพบกคนแรกของปากีสถาน ที่โดนตั้งข้อหากบฏนั้น เป็นเรื่องที่ “เจ็บปวด และรวดร้าว” ต่อกองทัพ และว่า อดีตผู้บัญชาการทหาร ประธานคณะกรรมาธิการร่วม และประธานาธิบดีแห่งปากีสถาน ซึ่งรับใช้ชาติมานานกว่า 40 ปี ต่อสู้ในสงครามต่างๆ เพื่อปกป้องประเทศ ไม่มีทางที่จะเป็นคนขายชาติได้อย่างแน่นอน
ก่อนหน้านี้ มีการกล่าวหาด้วยว่า กองทัพมีส่วนช่วยให้มูชาราฟ ที่เดินทางไปๆ มาๆ ระหว่างนครดูไบ กับกรุงลอนดอน ของอังกฤษ เดินทางออกนอกประเทศไปได้
การตัดสินของศาลพิเศษต่อต้านก่อการร้ายของปากีสถานในครั้งนี้ ประกอบไปด้วยผู้พิพากษาที่ร่วมพิจารณาคดี 3 ราย ซึ่ง 2 รายในจำนวนนี้เห็นพ้องที่จะตัดสินลงโทษดังกล่าวต่ออดีตผู้นำประเทศ โดยในขณะนี้ยังไม่มีการเผยแพร่รายละเอียดคำพิพากษาฉบับเต็มออกมาแต่อย่างใด
ในช่วงปีท้ายๆ ของการบริหารประเทศนั้น มูชาราฟ ซึ่งปัจจุบันอายุ 76 ปี มีความขัดแย้งกับระบบยุติธรรมของปากีสถานอย่างมาก เนื่องจากเขาต้องการที่จะอยู่ในตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก ควบคู่ไปกับการเป็นประธานาธิบดีด้วย
เมื่อเดือนที่แล้ว อดีตผู้นำปากีสถานได้เผยแพร่คลิปวีดิโอ ที่เขาอัดไว้ขณะอยู่ในโรงพยาบาลที่นครดูไบ โดยบอกว่า เขาไม่ได้รับการพิจารณาคดีอย่างเป็นธรรม โดยอดีตนายกรัฐมนตรีนาวาซ ชาริฟ ที่โด่นมูชาราฟโค่นจากตำแหน่งจากการทำรัฐประหาร เป็นผู้ยื่นฟ้องคดีนี้ต่อเขาเมื่อปี 2556
“ผมรับใช้ชาติ และตัดสินใจเรื่องต่างๆ เพื่อให้ประเทศดีขึ้น” มูชาราฟ ระบุไว้ในคลิป
หลังคำตัดสินออกมา ทนายความของมูชาราฟ ระบุว่า เขาจะยื่นอุทธรณ์ในเรื่องนี้ ขณะที่ “เปอวาอิซ ราชิด” ส.ว.ปากีสถาน คนสนิทของนายชาริฟ กล่าวว่า ผลที่ออกมาถือเป็นชัยชนะครั้งสำคัญ ที่จะช่วยเหนี่ยวรั้งการกระทำของกองทัพในอนาคตเอาไว้ได้