Politics

การเมืองเดือด! เพื่อไทยออกแถลงการณ์ ถล่ม ‘Money Politic’ใช้เงินฟาดหัว’งูเห่า’

“เพื่อไทย” ตั้ง “พล.ต.ท.วิโรจน์” ประธานสอบ 3 ส.ส.งูเห่า ใช้เวลา 7-10 วัน โทษหนัก”แบนลงเลือกตั้ง”ครั้งหน้า ถึงขั้นขับออกจากพรรค เตรียมถกจุดยืน 7 พรรคฝ่ายค้านสัปดาห์หน้า

นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ในฐานะหัวหน้าพรรคเพื่อไทย แถลงว่า พรรคเพื่อไทยออกแถลงการณ์ตั้งคณะกรรมการสอบสวนกรณี 3 ส.ส. ฝืนมติพรรคร่วมแสดงตนเป็นองค์ประชุม เพื่อให้รัฐบาลนับคะแนนและลงมติในญัตติการตั้งคณะกรรมาธิการเพื่อศึกษาผลกระทบจากคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ใหม่ เพื่อล้มญัตติดังกล่าว ทั้งที่ประธานคณะกรรรมการพรรคการเมืองฝ่ายค้าน(วิปฝ่ายค้าน) มีมติบอตคอยการเข้าร่วมประชุม โดยคณะกรรมการสอบสวนฯ มีพล.ต.ท.วิโรจน์ เปาอินทร์ อดีตหัวหน้าพรรคเพื่อไทย เป็นประธาน คาดว่า จะใช้เวลาประมาณ 7-10 วัน

นายสมพงษ์ กล่าวว่า ขอให้พรรคการเมืองฝ่ายค้านตั้งคณะทำงานศึกษาผลกระทบจากการใช้คำสั่งคสช. เพื่อชี้แจงให้ประชาชนทราบโดยเร็วที่สุด ส่วนวาระต่อไปคือตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อศึกษาแนวทาง หลักเกณฑ์และวิธีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ 2560 เพื่อหาทางออกให้การเมืองของประเทศต่อไป

เพื่อไทย22

ด้านนายภูมิธรรม เวชยชัย ที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงบทลงโทษการฝืนมติของพรรคว่า มีโทษสูงสุดถึงการตัดสิทธิ์ลงสมัครเลือกตั้งในครั้งหน้า การขับออกจากพรรค  หากพบว่ารับทรัพย์สินที่ขัดต่อพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง จะดำเนินคดีอาญากับบุคคลดังกล่าวด้วย

ส่วนกรณีพรรคเศรษฐกิจใหม่ฝืนมติวิปฝ่ายค้านทั้งพรรค นายภูมิธรรม  กล่าวว่าสัปดาห์หน้าจะประชุมพรรคร่วมฝ่ายค้าน เชื่อว่าทุกพรรคกำลังตรวจสอบข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น ต้องรอให้ความจริงของแต่ละพรรคก่อนว่าส.ส.แต่ละคนที่สวนมติพรรคมีเหตุผลอะไร

เมื่อถามย้ำกระแสข่าวพรรคเศรษฐกิจใหม่เตรียมถอนตัวจากฝ่ายค้านไปร่วมรัฐบาล นายภูมิธรรม กล่าวว่า การเมืองวันนี้มีข่าวลือมีมาก และถูกออกแบบมาให้ใช้เงิน และอำนาจนอกระบบ ทำให้พรรคฝ่ายค้านต้องทบทวน ซึ่งพรรคเพื่อไทยยืนยันจุดยืนทำงานตามอุดมการณ์ ไม่ใช่หาผลประโยชน์ส่วนตน ยอมรับว่าประเด็นดังกล่าวเป็นปัญหาสำหรับพรรคการเมืองฝ่ายค้าน แต่มั่นใจว่าประชาชนจะไม่ยอมให้ผู้ที่ใช้อำนาจที่ไม่เป็นธรรม ใช้อำนาจจนเกินพอดี ไม่เหมาะสม ทำให้ประเทศผิดเพี้ยนไป

สมพงษ์
สมพงษ์ อมรวิวัฒน์

ในแถลงการณ์ของพรรคเพื่อไทยระบุว่า จากการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2562 เพื่อพิจารณาญัตติการตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาผลกระทบจากการกระทำ ประกาศและคำสั่ง ของ คสช. และการใช้อำนาจของหัวหน้า คสช. ตามมาตรา 44 เป็นปรากฏการณ์ที่แสดงให้เห็นถึง “ความกลัว” ในการถูกตรวจสอบของผู้นำรัฐบาล ถึงขั้น “กล้ากระทำสิ่งที่น่าละอาย” ขัดต่อความรู้สึกของพี่น้องประชาชน และขัดต่อความถูกต้องชอบธรรม อย่างไม่สะทกสะท้าน หวั่นเกรงใดๆ

ไม่ว่าจะเป็นการนำจำเลยซึ่งศาลฎีกาพิพากษาให้มีความผิด ถูกออกหมายจับ เข้ามานั่งในสภาฯ ได้ โดยที่ไม่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจนายใดกล้าเข้ามาจับกุม หรือกรณีที่มีข่าวหนาหูว่ามีการใช้ผลประโยชน์ อิทธิพลและมีการกล่าวอ้างถึงการใช้เงินจำนวนมากถึง 7-8 หลักเพื่อโน้มน้าว ชักจูงให้มีการลงมติสนับสนุนฝ่ายรัฐบาล และดิ้นรนที่จะไม่ยินยอมให้มีการตั้งคณะกรรมาธิการศึกษาผลกระทบของการใช้มาตรา 44 จนเกิดการถอยหลังทางการเมืองอย่างน่าอดสู

ปรากฏการณ์ “งูเห่า” ที่เกิดขึ้นในพรรคการเมืองหลายพรรค ซึ่งถือเป็นปฏิบัติการที่ไม่มีกติกา ขาดวินัย ไร้จิตสำนึก มุ่งแต่แสวงประโยชน์ฝ่ายตนให้เกิดขึ้นภายใต้กลไกอำนาจนอกระบบ เป็นการลุแก่อำนาจ คุกคามด้วยอามิสสินจ้าง ทำทุกอย่างเพื่อให้ชนะ เพราะขลาดกลัวการถูกตรวจสอบ

จะเห็นได้ว่านับตั้งแต่การรัฐประหารล่วงเลยมาถึงวันนี้ สังคมไทยมีบาดแผลและมีมลทินมากมาย ผลที่เห็นประจักษ์ชัด คือ การเมืองไทยที่เคยก้าวหน้า เป็น “การเมืองเชิงนโยบาย” ยึดถือการรักษาพันธะ สัญญาที่จะตอบสนองความต้องการเชิงนโยบายให้แก่พี่น้องประชาชน กลับต้องถอยหลังย้อนอดีตไปเกือบ 40 ปี เป็น “Money Politic” ที่ใช้อำนาจอธรรมและเงิน เป็นเครื่องมือ ทำให้ระบบรัฐสภาถอยหลัง ประชาชนหมดความไว้วางใจ บั่นทอนระบอบรัฐสภาให้เป็นสภาพแวดล้อมที่ขาดไร้จริยธรรม สร้างเงื่อนไขให้ผู้คนเห็นความเสื่อม จนอาจเกิดความชาด้านและปฏิเสธระบบรัฐสภา ในที่สุด

พรรคเพื่อไทยเห็นว่า ความเสื่อมทรุดทั้งปวง เป็นผลที่เกิดขึ้นจากความหวาดกลัวการถูกตรวจสอบ การใช้อำนาจเงินหว่านล้อมให้ ส.ส.งูเห่า ยอมจำนน ในด้านหนึ่งแม้จะสะท้อนภาพของการขาดจริยธรรมของ ส.ส. แต่เบื้องหลังคือ อำนาจและกลไกการควบคุมที่ถูกออกแบบมาเพื่อป้องกันให้พรรคพวกของตนสามารถสืบทอดอำนาจของพวกตนเองได้ตลอดไป

ภายใต้ผลพวงของการออกแบบรัฐธรรมนูญที่พิกลพิการไม่ปกติ สะท้อนถึงความสามารถในการพลิกพลิ้ว “ทำผิด ให้เป็นถูก” การใช้กลโกงในการควบรวมอำนาจเช่นนี้ กลับยิ่งสื่อให้เห็นถึงรัฐบาลที่ไร้หลักการ ไม่สามารถใช้เหตุผลมาดึงความร่วมมือร่วมใจของคนทุกฝ่ายให้เกิดขึ้นได้จริง จึงต้องเล่นแร่แปรธาตุทุกวิถีทางดังที่เป็นอยู่

พรรคเพื่อไทยเห็นว่าปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นสัญญาณเตือนว่าจะยังไม่ใช่ครั้งสุดท้าย และจะยิ่งเกิดขึ้นอีกต่อเนื่อง ด้วยเสียงที่ปริ่มน้ำของรัฐบาล พวกเขาจะกระทำทุกวิถีทางในการปกป้องประโยชน์พวกพ้องตน มากกว่าประโยชน์ของประชาชน อันเป็นการทำลายระบบการเมืองที่มีหลักการของประเทศต่อไปอย่างไม่มีจุดจบ

หนทางสำคัญ เพื่อให้ประเทศหลุดพ้นจากปัญหาดังกล่าว รัฐบาลและกลุ่มผู้มีอำนาจในปัจจุบันต้องยินยอมและเร่งรัดให้เกิดกระบวนการการมีส่วนร่วมในสังคม เพื่อออกแบบรัฐธรรมนูญเสียใหม่ ให้ตอบสนองความต้องการอันแท้จริงของประเทศ และความต้องการของประชาชน และต้องมุ่งสร้างความเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริงให้เกิดขึ้นโดยเร็ว

นับจากวันนี้ วาระต่อไปคือ การนำวาระการพิจารณาเรื่องการศึกษาแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เข้าสู่สภาเพื่อหาทางออกจากวิกฤตของประเทศ

ดังนั้น พรรคเพื่อไทยจะดำเนินการ ดังนี้

1.  ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณี ส.ส. ของพรรคไม่ปฏิบัติตามมติพรรคร่วมฝ่ายค้าน หากพบว่ามีการกระทำผิด จะดำเนินการตามกฎหมายและข้อบังคับพรรคในสถานหนัก

2. จะเสนอให้พรรคร่วมฝ่ายค้านพิจารณาตั้งคณะกรรมการศึกษาผลกระทบของการใช้มาตรา 44 โดยทำหน้าที่รวบรวมความคิดเห็นและผลกระทบที่เกิดขึ้นจากกรณีดังกล่าว โดยให้ประชาชนในสังคมร่วมเสนอความคิดเห็น และแถลงให้พี่น้องประชาชนทราบโดยเร็วที่สุด

พรรคจึงขอเชิญชวนประชาชนให้จับตามองว่า รัฐบาลจะจริงจังและจริงใจในการเปิดหนทางให้มีการเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญให้ลุล่วงหรือไม่ และพวกเขาจะใช้อำนาจอธรรมรูปแบบใด มาขัดขวางเจตนารมณ์แท้จริงของประชาธิปไตยอีก

ประชาชนต้องไม่อยู่นิ่งเฉย ต้องร่วมกันจับตามองการใช้อำนาจอธรรมที่บ่อนทำลายระบบรัฐสภาและจริยธรรมทางการเมือง เพื่อศักดิ์ศรีของประเทศอย่างจริงจัง

พรรคเพื่อไทย e1575616740309

พรรคเพื่อไทย29 e1575616923950

Avatar photo
ทีมบรรณาธิการข่าว The Bangkok Insight