กระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิของสหรัฐ เล็งนำเสนอกฎข้อบังคับใหม่เพื่อบังคับใช้ในปีหน้า กำหนดให้นักเดินทางทุกคน รวมถึง พลเมืองอเมริกัน ต้องถูกถ่ายรูป และสแกนใบหน้า เมื่อเดินทางเข้า หรือออกสหรัฐ
ข้อเสนอดังกล่าว ที่ตั้งเป้าจะกำหนดบังคับใช้ในเดือนกรกฎาคมปีหน้าโดยกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมินั้น จะเป็นส่วนหนึ่งของระบบที่ขยายวงกว้างขึ้น ในการติดตามนักเดินทาง ขณะที่พวกเขาเดินทางเข้า และออกจากสหรัฐ
อย่างไรก็ดี แผนการนี้เรียกเสียงคัดค้านจากกลุ่มนักเคลื่อนไหวเพื่อความเป็นส่วนตัวจำนวนหนึ่ง โดยนายเจย์ สแตนลีย์ นักวิเคราะห์นโยบายอาวุโส จากสหพันธ์เสรีภาพพลเมืองอเมริกัน (เอซีแอลยู) ออกโรงวิจารณ์แนวคิดนี้ และว่า นักเดินทาง รวมถึง พลเมืองอเมริกัน ไม่ควรต้องมายินยอมให้กับการสแกนทางชีวภาพ ที่รุกล้ำความเป็นส่วนตัว เพียงแต่พวกเขาใช้สิทธิการเดินทางตามรัฐธรรมนูญ
รัฐบาลสหรัฐ ระบุในข้อเสนอขอจัดทำกฎระเบียบว่า การกำหนดให้มีการสแกนใบหน้าดังกล่าว ก็เพื่อรับมือกับการฉ้อโกง ที่ใช้เอกสารการเดินทางของสหรัฐ และช่วยบ่งชี้ตัวอาชญากร และผู้ต้องสงสัยว่าจะเป็นผู้ก่อการร้าย
ตามปกติแล้ว สาธารณชนจะมีเวลาราว 30-60 วัน เพื่อแสดงความเห็นต่อข้อเสนอขอจัดทำกฎระเบียบ จากนั้นหน่วยงานของรัฐบาลกลางสหรัฐ จะต้องพิจารณา และตอบความเห็นต่างๆ อันเป็นกระบวนการที่ต้องใช้เวลาอย่างมากสำหรับการจัดกฎระเบียบที่สำคัญ
รัฐบาลสหรัฐ อธิบายไว้ในข้อเสนอขอจัดทำกฎระเบียบด้วยว่า มีแผนที่จะออกกฎระเบียบด่วนอีกชุดหนึ่งที่แยกออกมาในเดือนนี้ ที่จะเปิดทางให้โครงการตรวจสอบการเดินทางเข้า-ออกประเทศ ขยายวงกว้างไปไกลกว่าที่จะเป็นโครงการนำร่อง
ที่ผ่านมา สำนักงานปกป้องชายแดน และศุลกากร ซึ่งอยู่ในสังกัดของกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ ได้ทดลองดำเนินโครงการจัดเก็บภาพถ่าย และลายนิ้วมือของนักเดินทางต่างชาติไปแล้ว
