หลังจากการที่บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด หรือหุ้น MINT ประกาศเข้าลงทุนในบริษัท ชิคเก้น ไทม์ เจ้าของร้านอาหารไก่ทอด “บอนชอน” (Bonchon) ในประเทศไทย ด้วยจำนวนเงิน 2,000 ล้านบาท
เรียกว่าดีลนี้ของ MINT ชวนให้เรากลับไปนึกถึงกรณีคล้ายๆ ของบริษัท เอ็มเค เรสโตรองค์ กรู๊ป จำกัด (มหาชน) หรือหุ้น M เมื่อต้นเดือนเดือนกันยายนที่ผ่านมา กับการซื้อหุ้นของ “แหลมเจริญ ซีฟู้ด” ในราคา 2,060 ล้านบาท
ทั้งนี้ทั้งนั้นเพราะมีหลายอย่างที่คล้ายคลึงกันมาก ไม่ว่าจะด้วยเรื่องราคา ชื่อเสียงของแบรนด์ รวมถึงเป้าหมายการลงทุนที่เป็นการเพิ่มความแข็งแกร่งของพอร์ตร้านอาหารบนห้าง และกระจายความเสี่ยง เพิ่มความหลากหลายทางธุรกิจของบริษัทยักษ์ใหญ่เช่นกัน
วันนี้จึงอยากจะลองมาเปรียบเทียบกันคร่าวๆ ทีละประเด็นกันเลยว่าระหว่าง 2 ดีลของ MINT และ MK ใครคุ้มกว่ากัน ?
MINT ซื้อบอนชอน
MINT ใช้เงินจำนวน 2,000 ล้านบาท แลกกับสิทธิ์บริหารร้านบอนชอน 40 สาขาในประเทศไทยในสัดส่วนถือหุ้น 100% แต่มีข้อยกเว้นว่าจะไม่ได้สิทธิ์ในการขยายสาขาเพิ่มเติม
ทีนี้ลองมาดูงบของบอนชอนกันบ้าง พบว่าในปี 2561 รายได้รวม 1,351 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 352 ล้านบาท โดยคิดเป็นรายได้ต่อสาขาอยู่ที่ปีละ 33 ล้านบาท
เพราะฉะนั้น เมื่อลองเอาเงินมูลค่า 2,000 ล้านบาท หารกำไร 352 ล้านบาท เราจะได้ได้ตัวเลข P/E เท่ากับ 5.7 เท่า แปลง่ายๆ ว่า ถ้าบอนชอนยังทำกำไรได้ในระดับนี้ต่อไป MINT ใช้เวลาแค่ 5 ปีครึ่งก็สามารถคืนทุนได้แล้ว
MK ซื้อแหลมเจริญ
ขณะที่ฝั่ง MK ซื้อแหลมเจริญด้วยเงิน 2,060 ล้านบาท แลกกับหุ้นของแหลมเจริญในสัดส่วน 65% จากจำนวนสาขาทั้งหมด 25 สาขาในประเทศไทย
สำหรับงบของแหลมเจริญ นักวิเคราะห์คาดว่ามีกำไรประมาณปีละ 124 -155 ล้านบาท ซึ่งหากคิดเป็นสัดส่วน 65% ที่ MK เข้าซื้อจะคิดเป็นกำไรอยู่ราว 100 ล้านบาท
เมื่อลองเอาเงินมูลค่า 2,060 ล้านบาท หารกำไร 100 ล้านบาท จะได้ตัวเลข P/E เท่ากับ 20.6 เท่า ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงกว่าดีลของ MINT อยู่พอสมควร หรือสรุปง่ายๆ คือ MK จะใช้เวลาคืนทุนนานกว่า MINT ถึง 15 ปี
แต่อย่างไรก็ตาม นี่เป็นเพียงข้อมูลประกอบการตัดสินใจ โดยการสรุปจากตัวเลขคร่าวๆ ที่ถูกเปิดเผยจากทั้งสองบริษัทเท่านั้น ในความเป็นจริงอาจจะมีปัจจัยอื่นๆ รวมถึงข้อเสนอพิเศษเพิ่มเติมของสัญญาด้วยก็ได้ เช่น กรณีของบอนชอนที่ MINT ยังต้องไปเจรจากับเจ้าของสิทธิ์แฟรนไชส์ในการขยายสาขาใหม่อีกรอบ
ดังนั้น จึงยากที่จะสามารถสรุปได้ว่าข้อเสนอไหนของใครที่คุ้มค่าในแง่ธุรกิจมากกว่ากัน