Finance

จับตาทุนอสังหาฯรายใหญ่แห่รวบหุ้น!!

จับตา

ภาพรวมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในครึ่งปีหลังของปี 2561 น่าจะมีทิศทางที่ดีขึ้น หลังจากที่ยอดจองซื้อในรอบ 5 เดือนแรกของผู้ประกอบการเติบโตมากกว่า 20% รวมทั้งแผนการเปิดโครงการใหม่อีกจำนวนมากจะเกิดขึ้นในไตรมาส 2 ปีนี้เป็นต้นไป ดังนั้นทำให้นักวิเคราะห์ประเมินว่า การเติบโตของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จะเริ่มเห็นได้ชัดเจนจากนี้ไป

ขณะที่ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ในตลาดหุ้นไทย ก็มีการเคลื่อนไหวที่สำคัญ และมีความน่าสนใจ เพราะกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ต่างพากันประกาศรับซื้อหุ้นของบริษัทตัวเองคืนจากผู้ถือหุ้นทั่วไปอย่างคึกคัก

เริ่มจากการที่ อนันต์ อัศวโภคิน  ผู้ถือหุ้นใหญ่  บริษัทแลนด์แอนด์เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LH ได้ประกาศทำคำเสนอซื้อหุ้นบางส่วน (Voluntary Partial Tender Offer) ในจำนวน 1,194.97 ล้านหุ้น หรือคิดเป็นสัดส่วน 10% ของหุ้นสามัญที่ออกและจำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของบริษัท ในราคาหุ้นละ 11.80 บาท ซึ่งเป็นราคาที่สูงกว่าราคาตลาดก่อนที่จะประกาศออกมา คิดเป็นมูลค่ารวม 1.41 หมื่นล้านบาท

ทั้งนี้ ก่อนการทำคำเสนอซื้อหุ้นบางส่วน “อนันต์ อัศวโภคิน” เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ถือหุ้นรวม 2.86 พันล้านหุ้น คิดเป็น 23.93% ของหุ้นสามัญที่ออกและจำหน่ายได้แล้วทั้งหมด ขณะที่สภาพคล่องของหุ้น LH มีสัดส่วนถือหุ้นของผู้ถือหุ้นรายย่อย (Free float) อยู่ 61.34%

LH ประกอบธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่อาศัย โดยขายบ้านจัดสรรพร้อมที่ดิน ทั้งบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม และคอนโดมิเนียม โครงการส่วนใหญ่อยู่ในเขตกรุงเทพฯ และตามจังหวัดใหญ่ ๆ

ต่อมา “กิตติ ธนากิจอำนวย” และ nCrowne Pte.Ltd.ผู้ถือหุ้นใหญ่ บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ NOBLE  แจ้งว่า ได้ซื้อหุ้นสามัญ 104.20 ล้านหุ้น คิดเป็น 22.83% ของจำนวนหุ้นที่ออกและจำหน่ายได้แล้วทั้งหมดจาก Stephane Michel Rosales Sedano ซึ่งภายหลังการทำรายการดังกล่าวส่งผลให้โครงสร้างการถือหุ้นของผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทเปลี่ยนแปลงไป

โดย กิตติ ธนากิจอำนวย ถือ 156.41 ล้านหุ้น คิดเป็น 34.27%, nCrowne Pte.Ltd. 104.20 ล้านหุ้น คิดเป็น 22.83% อื่นๆ 42.91%  ซึ่งผลของการซื้อขายหุ้นดังกล่าวทำให้ กิตติ ธนากิจอำนวย และ nCrowne Pte.Ltd. กลายเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ จึงมีหน้าที่ต้องทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดของกิจการ ซึ่งรวมถึงหุ้นและหลักทรัพย์แปลงสภาพ โดยต้องยื่นคำเสนอซื้อสามัญ จำนวน 195.85 ล้านหุ้น คิดเป็น 42.91% ในราคาที่คาดว่าจะเสนอซื้อ 12.25 บาทต่อหุ้น  มูลค่ารวมประมาณ  2.3 พันล้านบาท 

ล่าสุด วารุณี ลภิธนานุวัฒน์ รองกรรมการผู้จัดการและเลขานุการบริษัท บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) หรือ SPALI รายงานว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทมีมติให้บริษัท ศุภาลัย พรอพเพอร์ตี้ แมเนจเม้นท์ จำกัด (SPM) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ถือหุ้นอยู่ 99.99% ทำคำเสนอซื้อหุ้นทั้งหมด 100% หรือจำนวน 992.01 ล้านหุ้น ใน บริษัท มั่นคงเคหะการ จำกัด (มหาชน) หรือ MK โดยสมัครใจ (Voluntary Tender Offer) ในราคาหุ้นละ 4.10 บาท รวมเป็นมูลค่าประมาณ 4.07 พันล้านบาท ภายใต้เงื่อนไขว่า SPM จะทำการยกเลิกคำเสนอซื้อหุ้นทั้งหมด หากเมื่อสิ้นสุดระยะเวลารับซื้อแล้วมีผู้เสนอขายหุ้นจำนวนน้อยกว่า 25% โดยการเข้าซื้อกิจการครั้งนี้จะเป็นการเพิ่มโอกาสการขยายธุรกิจ

MK เป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อการค้า ได้แก่ จัดสรรที่ดินเปล่า สร้างบ้านสำเร็จรูปขายพร้อมที่ดิน และรับเหมาก่อสร้างบ้านและคอนโดมิเนียม ตลอดจนให้เช่าอาคาร และที่จอดรถ และธุรกิจสนามกอล์ฟ เป็นต้น

โดยมี ประทีป ตั้งมติธรรม เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ 11.29% ,บริษัท ฟินันซ่า (FNS) ถือหุ้น 9.78% ,บริษัท ซีพีดี โฮลดิ้ง จำกัด ถือหุ้น 9.07% , UBS AG SINGAPORE BRANCH ถือหุ้น 8.83% ซึ่งการเข้าซื้อกิจการครั้งนี้ จะเป็นโอกาสการลงทุนในบริษัทซึ่งมีทรัพย์สินที่บริษัทสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มได้ เช่น ที่ดินเปล่า โครงการอสังหาริมทรัพย์ระหว่างการพัฒนา เป็นต้น , โอกาสในการสร้างมูลค่าเพิ่มจากการที่บริษัทและ MK มีจุดเด่นและความเชี่ยวชาญที่แตกต่างกัน

ดนัย ตุลยาพิศิษฐ์ชัย นักวิเคราะห์การลงทุนด้านตลาดทุน บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) ให้ความเห็นว่า การที่ผู้ถือหุ้นใหญ่รับซื้อหุ้นคืน มองว่า น่าจะเป็นสิ่งที่ดีกับบริษัท เพราะการเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นอาจเกิดจากการมองเห็นศักยภาพที่จะสร้างผลตอบแทนในอนาคตเพิ่มขึ้น ซึ่งช่วยสร้างความเชื่อมั่นกับผู้ถือหุ้น  เช่น  กรณีที่ “อนันต์ อัศวโภคิน” ผู้ถือหุ้นใหญ่ บริษัทแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ได้ทำคำเสนอซื้อหุ้นบางส่วน คาดน่าจะเกิดผลดี

“ก่อนหน้านี้ตลาดกังวลว่า GIC ซึ่งเป็นกองทุนรัฐบาลสิงคโปร์ จะลดสัดส่วนการถือหุ้นใน LH ที่คงเหลืออยู่ 8% นการซื้อหุ้นคืนอาจทำให้ความกังวลนี้จะลดลง เพราะ GIC จะใช้โอกาสนี้ในการลดสัดส่วนการถือหุ้นด้วย และการเพิ่มการถือหุ้น อาจส่งสัญญาณบวกในแง่การเติบโตของบริษัทในอนาคต ซึ่งทางฝ่ายประเมินว่าอาจมีโครงการเพื่อการเช่าใหม่ๆเข้ามาทดแทนโครงการอาคารที่พักอาศัย USA ที่ขายไปในไตรมาส2ปี 2561”

นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เมย์แบงก์กิมเอ็ง(ประเทศไทย)กล่าวว่า การที่ผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ได้รับซื้อหุ้นคืนนั้น แต่ละบริษัทมีเหตุผลที่ต่างกัน และมีทั้งที่แจ้งเหตุผลอย่างชัดเจน และไม่ได้แจ้ง  ซึ่งกรณีการไม่ชี้แจงเหตุผล คาดว่าหลังจากรายการรับซื้อหุ้นคืนเรียบร้อยแล้ว น่าจะการดำเนินการบางอย่างต่อไป  แต่ยังไม่สามารถระบุได้ว่า ผู้ถือหุ้นใหญ่จะนำหุ้นที่ซื้อคืนไปทำอะไรบ้าง

การรับซื้อหุ้นคืนของกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ที่ผ่านมา มีบางแห่งไม่ได้แจ้งเหตุผลของการทำรายการซื้อหุ้นคืนอย่างชัดเจน ดังนั้นเชื่อว่า คงไม่จบเพียงเท่านี้ และผู้ถือหุ้นใหญ่น่าจะมีแผนหรือโครงการที่รออยู่ในอนาคต

Avatar photo
ทีมบรรณาธิการข่าว The Bangkok Insight