นักวิเคราะห์ชี้ แบงก์ชาติจีนเดินหน้าลดดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่อง สะท้อนความพยายามที่จะส่งสัญญาณเพื่อสร้างความมั่นใจ ถึงการสนับสนุนภาคธุรกิจ
เมื่อวานนี้ พีเพิลส์ แบงก์ ออฟ ไชน่า (พีบีโอซี) ธนาคารกลางของจีน ได้ประกาศลดดอกเบี้ยเงินกู้ยืมลงมา 0.05% ทำให้อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ “loan prime rate” (แอลพีอาร์)ระยะ 1 ปี ลงมาอยู่ที่ 4.15% จากระดับ 4.20% เมื่อเดือนตุลาคม และปรับลดดอกเบี้ยแอลพีอาร์ระยะ 5 ปีเป็นครั้งแรก จากระดับ 4.85% มาอยู่ที่ 4.80%
นักวิเคราะห์ระบุว่า การเคลื่อนไหวครั้งล่าสุดนี้ ยิ่งเน้นให้เห็นถึงพยานหลักฐานที่ว่า รัฐบาลปักกิ่งกำลังเพิ่มความพยายามที่จะทำให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างมีเสถียรภาพ ท่ามกลางความกังวลที่เพิ่มมากขึ้น
การลดดอกเบี้ยครั้งล่าสุดนี้ ยังเกิดขึ้นเพียงไม่กี่วันหลังจากที่ธนาคารกลางจีน ได้สร้างความประหลาดใจไปก่อนหน้านี้ ด้วยการลดดอกเบี้ยเงินกู้หลักตัวอื่นไปแล้ว ทั้งเมื่อช่วงต้นเดือนนี้ แบงก์ชาติจีนก็เพิ่งลดดอกเบี้ยเงินกู้ยืมระยะกลางอายุ 1 ปี ลงมา 0.05% มาอยู่ที่ 3.25%
สตีเฟน อินเนส หัวหน้านักกลยุทธ์ตลาดเอเชีย จากแอกซีเทรดเดอร์ ระบุว่า การลดดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นมาอย่างต่อเนื่องนี้ ถือเป็นการส่งสัญญาณเพื่อรับประกันความเชื่อมั่นว่า ธนาคารกลางจีนยังต้องการเพิ่มการสนับสนุนด้านสินเชื่อให้กับภาคธุรกิจ แม้จะเกิดฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์ และระดับหนี้ที่เพิ่มขึ้น
ส่วนเจฟฟรีย์ ฮัลลีย์ นักวิเคราะห์ตลาดอาวุโส ภาคพื้นเอเชีย แปซิฟิค จากออนดา ชี้ว่า เป็นความเคลื่อนไหวที่แสดงให้เห็นค่อนข้างชัดเจนว่า จีนจะไม่เอาแต่นั่งรอ การลงนามในข้อตกลงการค้าฉบับชั่วคราว และจีนกำลังเดินหน้าติดเครื่องยนต์กระตุ้นเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว จากการที่เศรษฐกิจท้องถิ่นชะลอตัว
อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์เตือนว่า ธนาคารจีนต้องระมัดระวังในเรื่องการสร้างสมดุล เพราะการที่เงินเฟ้อผู้บริโภคที่กำลังเพิ่มขึ้น ทั้งที่อัตราดอกเบี้ยลดต่ำลงนั้น มีแนวโน้มที่จะยิ่งเพิ่มแรงกดดันให้กับเงินเฟ้อมากขึ้น เพราะทำให้ค่าใช้จ่ายในการกู้ยืมถูกลง และทำให้ผู้คนพากันจับจ่ายมากขึ้น
หวัง ฮั่น หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ จากอินดัสเตรียล ซิเคียวริตีส์ บริษัทโบรกเกอร์จีน กล่าวว่า การที่เศรษฐกิจชะลอตัวรุนแรงมากขึ้น ทำให้แบงก์ชาติจีนต้องเผชิญกับอุปสรรค และความตึงตัวในหลายด้าน และส่วนใหญ่เป็นเรื่องที่ขัดแย้งกัน
กระนั้นก็ตาม เมื่อพิจารณาจากแนวโน้มเศรษฐกิจ ที่อาจถดถอยอย่างต่อเนื่องแล้ว ก็มีความเป็นไปได้ที่ธนาคารกลางจีนจะต้องเดินหน้าในเชิงรุกมากกว่านี้
