“อองซาน ซูจี” ที่ปรึกษาแห่งรัฐเมียนมา จะเป็นผู้นำคณะเจ้าหน้าที่เมียนมา ขึ้นต่อสู้คดี “สังหารหมู่” ชาวโรฮิงญา ชนกลุ่มน้อยของประเทศ ที่แกมเบียเป็นผู้ยื่นฟ้องต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หรือศาลโลก
แกมเบีย ประเทศขนาดเล็กในแอฟริกาตะวันตก ที่ประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม ได้ยื่นฟ้องดังกล่าว หลังได้รับเสียงสนับสนุนจากองค์กรความร่วมมืออิสลาม (โอไอซี) ที่มี 57 ประเทศเป็นสมาชิก ซึ่งตามกฎของศาลโลกนั้น กรณีที่จะยื่นฟ้องประเทศ จะต้องทำโดยประเทศเท่านั้น
สำนักงานที่ปรึกษาแห่งรัฐของนางซูจี ระบุว่า เมียนมาได้ว่าจ้างทนายความระหว่างประเทศ ที่มีความเชี่ยวชาญอย่างมาก เพื่อต่อสู้ในคดีนี้ โดยที่นางซูจี ในฐานะรัฐมนตรีกิจการต่างประเทศเมียนมา จะเป็นนำคณะเดินทางไปยังกรุงเฮค เนเธอร์แลนด์ เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของเมียนมา
ทางด้านนายพลจัตวาซอสว์ มิน ตัน โฆษกกองทัพเมียนมา เปิดเผยว่า การตัดสินใจดังกล่าวมีขึ้น หลังจากที่ฝ่ายกองทัพได้ดำเนินการปรึกษากับฝ่ายรัฐบาลแล้ว พร้อมยืนยันกองทัพจะให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่กับรัฐบาล และจะปฏิบัติตามคำแนะนำของรัฐบาล
ขณะที่โฆษกพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (เอ็นแอลดี) ของนางซูจี ระบุว่า นางซูจีตัดสินใจที่จะจัดการกับคดีนี้ด้วยตัวเอง
“พวกเขากล่าวหาเธอว่าไม่ออกมาพูดเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิมนุษยชน กล่าวหาเธอว่า ไม่ได้พยายามที่จะยุติการละเมิดสิทธิมนุษยชน เธอจึงตัดสินใจที่จะเผชิญหน้ากับการฟ้องร้องด้วยตัวเอง”
ทั้งแกมเบีย และเมียนมา ต่างลงนามในอนุสัญญาฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ปี 2491 ที่ไม่เพียงแต่ห้ามประเทศต่างๆ ดำเนินการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์เท่านั้น แต่ยังมีกฎควบคุมประเทศที่ลงนามให้ป้องกัน และลงโทษการกระทำความผิดในเรื่องนี้ด้วย โดยศาลโลก ระบุว่า จะเปิดรไต่สวนคดีนี้เป็นนัดแรกระหว่างวันที่ 10-12 ธันวาคมนี้
นับตั้งแต่กองทัพเมียนมาดำเนินการกวาดล้างชาวโรฮิงญาเมื่อปี 2560 มีชนกลุ่มน้อยกลุ่มนี้หลบหนีเข้าไปยังบังกลาเทศ ประเทศเพื่อนบ้านของเมียนมาแล้วมากกว่า 730,000 คน ซึ่งเจ้าหน้าที่สอบสวนของสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ระบุว่า กองทัพเมียนมาดำเนินการโดยมีความตั้งใจที่จะฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวโรฮิงญา ข้อกล่าวหาที่ทางเมียนมาปฏิเสธมาโดยตลอด
