รายงานวิเคราะห์ฉบับล่าสุด ระบุว่า การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศโลก อาจทำให้เกิดค่าใช้จ่ายโดยตรงต่อเศรษฐกิจโลกมากถึง 7.9 ล้านล้านดอลลาร์ ภายในช่วงกลางศตวรรษนี้ จากภัยธรรมชาติอย่างภาวะแห้งแล้ง และน้ำท่วมที่เพิ่มมากขึ้น ทั้งพืชผลยังให้ผลผลิตไม่เต็มที่ กระทบต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจ และเป็นภัยคุกคามต่อสาธารณูปโภคพื้นฐาน
ดัชนีการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ของดิ อิโคโนมิสต์ อินเทลลิเจนซ์ (อีไอยู) ดำเนินการตรวจสอบความพร้อมของประเทศเศรษฐกิจใหญ่สุดของโลก 82 รายด้วยกัน และพบว่า เมื่อพิจารณาบนพื้นฐานของแนวโน้มในปัจจุบันแล้ว โลกที่มีอุณหภูมิสูงขึ้นจะทำให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) โลกหายไปราว 3% ภายในปี 2593
การวิเคราะห์ดังกล่าว ซึ่งประเมินจากความเสี่ยงโดยตรงของแต่ละประเทศ ที่จะเกิดการสูญเสียจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศโลก ที่ทำให้เกิดสภาพอากาศแบบสุดขั้วบ่อยครั้งขึ้นนั้น พบว่า แอฟริกาเป็นพื้นที่มีความเสี่ยงมากสุด ด้วยความเสี่ยงที่จีดีพีจะหายไปราว 4.7% ซึ่งโดยรวมทั้งหมดแล้ว แองโกลาเป็นประเทศที่มีการสูญเสียมากสุด มีแนวโน้มที่จีดีพีจะหายไปมากถึง 6.1%
รายงานชี้ว่า โดยทั่วไปแล้ว ชาติกำลังพัฒนาค่อนข้างที่มีความยืดหยุ่นน้อยกว่าประเทศที่มีฐานะร่ำรวยกว่า
“ประเทศที่มีฐานะร่ำรวยกว่า มักจะมีความยืดหยุ่นได้มากกว่าต่อการรับมือกับผลกระทบจากภาวะโลกร้อน ทำให้เรื่องกลายเป็นภัยคถุกคามต่อการเติบโตของประเทศกำลังพัฒนาอย่างแท้จริง ในช่วงเวลาที่ประเทศเหล่านี้กำลังพยายามไล่ตามประเทศพัฒนาแล้วให้ทัน”
รายงานชี้ว่า สหรัฐ มีแนวโน้มที่จะติดอยู่ในกลุ่มประเทศที่ได้รับผลกระทบน้อยสุด ส่วนรัสเซียคาดว่า จีดีพีจะหายไปใน 5% ภายในปี 2593 และจะได้รับผลกระทบจากภาวะโลกร้อนมากกว่าประเทศอื่นๆ จากการละลายของชั้นดินเยือกแข็ง ที่จะส่งผลกระทบต่อโครงสร้างพื้นฐานหลายอย่าง อาทิ ท่อส่งไฮโดรคาร์บอน อันจะกลายเป็นตัวฉุดเศรษฐกิจรัสเซียมากสุดในช่วงไม่กี่ทศวรรษข้างหน้า
