ในรอบรองชนะเลิศ เบลเยียมแพ้ฝรั่งเศส 0-1 ส่วนอังกฤษแพ้โครเอเชียในช่วงต่อเวลาพิเศษ 1-2 โดยอังกฤษเคยเข้าชิงที่ 3 มาแล้วในฟุตบอลโลกปี 1990 แต่แพ้ต่อเจ้าภาพอิตาลี 1-2 ขณะที่เบลเยียมเคยชิงที่ 3 ในฟุตบอลโลกปี 1986 แต่พวกเขาจบอันดับที่ 4 ด้วยการแพ้ต่อฝรั่งเศส
เบลเยียมและอังกฤษเป็นคู่แรกที่พบกันถึงสองครั้งในฟุตบอลโลกหนเดียว นับตั้งแต่ที่ตุรกีเจอบราซิลสองครั้งในฟุตบอลโลกปี 2002 โดยเบลเยียมเอาชนะอังกฤษ 1-0 ในรอบแบ่งกลุ่มนัดสุดท้าย
เกมนี้เป็นเบลเยียมที่เล่นได้ดุดันเด็ดขาดกว่ามาได้ประตูออกนำเร็วตั้งแต่ 4 นาทีแรกเมื่อ นาเซอร์ ชาดลี เติมขึ้นมาทางซ้ายก่อนเปิดบอลเข้าไปหน้าประตู โธมัส มูนิเย่ร์ เข้าชาร์ตจ่อๆตุงตาข่าย จากนั้นเป็นเบลเยียมที่ครองเกมบุกได้ดีกว่าแต่ไม่มีประตูเพิ่มทำให้หมดครึ่งแรกเบลเยียมนำ 1-0 โดยสถิติตครึ่งแรกเบลเยียมยิง 8 ครั้ง เข้ากรอบ 2 ครั้ง ส่วน อังกฤษยิง 6 ครั้ง เข้ากรอบ 3 ครั้ง
ครึ่งหลัง แกเร็ธ เซาธ์เกต แก้เกมทันทีเปลี่ยนตัวสองคนรวด ส่งเจสซี่ ลินการ์ด กับ มาร์คัส แรชฟอร์ด ลงมาแทน แดนนี่ โรส และ ราฮีม สเตอร์ลิง แม้อังกฤษจะเปิดเกมสู้ได้สนุกแต่จังหวะสุดท้ายไม่เฉียบขาดพอกระทั่งนาที 82 “ปีศาจแดงแห่งยุโรป” มาได้ประตูตอกฝาโลงเมื่อ เควิน เดอ บรอยน์ แทงบอลทะลุแนวรับอังกฤษให้เอแด็น อาซาร์ หลุดเข้าไปซัดเสียบเสาแรกอย่างเด็ดขาดทำให้เบลเยี่ยมเอาชนะ อังกฤษ 2-0 คว้าที่ 3 ไปครองได้เป็นครั้งแรก
จากชัยชนะเกมนี้ทำให้เบลเยียมไม่เคยแพ้ถ้าหากพวกเขาขึ้นนำก่อน นับตั้งแต่แพ้เยอรมัน 5-2 ในฟุตบอลโลกปี 1934 โดยแบ่งเป็น ชนะ 8 นัด เสมอ 4 นัด
รายชื่อ11ผู้เล่นตัวจริงทั้งสองทีม
อังกฤษ: จอร์แดน พิคฟอร์ด, ฟิล โจนส์, จอห์น สโตนส์, แฮร์รี่ แม็คไกวร์, เอริค ไดเออร์, คีแรน ทริปเปียร์, แดนนี่ โรส, รูเบน ลอฟตัส-ชีค ,ฟาเบียน เดลฟ์, แฮร์รี เคน, ราฮีม สเตอร์ลิง
เบลเยียม: ติโบต์ กูร์ตัวส์, โทบี้ อัลเดอร์ไวเรลด์, แว็งซอง กอมปานี, แยน แฟร์ตองเก้น, โธมัส มูนิเย่ร์, ยูริ ตีเลมองส์, อักเซล วิตเซล, นาเซอร์ ชาดลี, เควิน เดอ บรอยน์, เอแด็น อาซาร์, โรเมลู ลูกากู
