เบอร์แทรมฯ ได้ฤกษ์ รีแบรนด์ “เซียงเพียว” สินค้าเรือธงครั้งใหญ่ปีหน้า หลังอยู่มานาน 61 ปี พร้อมเปิดตัว เป๊ปเปอร์มิ้นท์ ฟิลด์ “ยาดมแบล็คอินเฮเลอร์” ซึ่งเป็นการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ครั้งแรกในรอบ 14 ปี หวังฉีกทุกกฎภาพลักษณ์ของยาดม เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ชีวิตคนเมือง เจาะตลาดวัยรุ่นผ่านพรีเซนเตอร์ “เดอะทอย” ขวัญใจเด็กแนว
นางสุวรรณา เอี่ยมพิกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เบอร์แทรม (1958) จำกัด เปิดเผยว่า ในปี 2563 จะเป็นปีแห่งการรีแบรนด์ครั้งใหญ่ในรอบ 61 ปีของแบรนด์ เซียงเพียว นับแต่วางตลาดมา ด้วยการปรับภาพลักษณ์แบรนด์ และสินค้าให้ทันสมัยมากขึ้น เพื่อขยายฐานลูกค้าที่มีอายุน้อยลง หรือ 30 ปี ขึ้นไป จากเดิมที่กลุ่มเป้าหมายหลักของ เซียงเพียว จะเป็นกลุ่มลูกค้าอายุ 40 ปี ขึ้นไป
ทั้งนี้ เนื่องจากปัจจุบัน ฐานลูกค้าเดิมของ เซียงเพียว ที่มีอายุมากขึ้น และเริ่มลดน้อยลง จึงต้องขยายฐานลูกค้ากลุ่มใหม่เข้ามามากขึ้น โดยปัจจุบัน เซียงเพียวเป็นสินค้าหลักที่ทำรายได้ให้บริษัทถึง 70% ที่เหลือเป็นแบรนด์เป๊ปเปอร์มิ้นท์ ฟิลด์ โดยจะเห็นภาพลักษณ์ใหม่ของเซียงเพียวในปีหน้า
ในส่วนของแบรนด์ เป๊ปเปอร์มิ้นท์ ฟิลด์ ล่าสุดวางตลาดผลิตภัณฑ์ใหม่ในรอบ 14 ปี หลังจากเริ่มทำตลาดครั้งแรกในปี 2548 จากยาดมเป๊ปเปอร์มิ้นท์ ฟิลด์ สูตรออริจินัล ตามด้วยการออกยาดมส้ม ซึ่งเป็นรุ่น ลิมิเต็ดอิดิชันสร้างสีสันให้ตลาด
สำหรับ เป๊ปเปอร์มิ้นท์ ฟิลด์ แบล็คอินเฮเลอร์ จะเป็นการฉีกกฏตลาดยาดมรูปแบบเดิมๆ ด้วยแพคเกจ “สีดำ” เพื่อให้ลุคสุดคูล เท่ สมาร์ท และกลิ่นที่เข้มกว่าเดิม หวังเจาะตลาดคนเมืองทั้งวัยรุ่นและ วัยทำงาน ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักของแบรนด์ให้มากยิ่งขึ้น รวมถึงใช้นวัตกรรม 3 More ได้แก่ “More Cool” ดีไซน์ ยาดมสีดำ สุดเท่ โดดเด่นไม่เหมือนใคร, “More Fresh” ส่วนผสมของ เป๊ปเปอร์มิ้นท์ออยและ น้ำมัน ยูคาลิปตัส ที่มากกว่าเดิมถึงเท่าตัว และ “More Safe” เป็นมิตรกับจมูก ดมได้บ่อยเท่าที่ต้องการ
ด้านตัวเลขผลประกอบการของเป๊ปเปอร์มิ้นท์ ฟิลด์ มีการเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2561 ปิดยอดขายในประเทศที่ 162 ล้านบาท คาดการณ์ว่าในปี 2562 จะสามารถปิดยอดขายที่ 187 ล้านบาท หรือโตขึ้นประมาณ 15% ซึ่งในปีที่ผ่านมาสัดส่วนรายได้ของเบอร์แทรมแบ่งเป็นในประเทศ 50% ต่างประเทศ 50% โดยแบรนด์เป๊ปเปอร์มิ้นท์ ฟิลด์ มีมูลค่าส่วนแบ่งในตลาดยาดมแบบแท่งเป็นอันดับสอง และในปีนี้ยังมีการเปิดตัวผู้เล่นรายใหม่ในตลาดยาดม ซึ่งน่าจะสร้างสีสันได้ในระดับหนึ่ง
ขณะที่ยอดขายรวมของบริษัทในปีนี้ วางเป้าหมายไว้ที่ 1,500 ล้านรวมรายได้จากการส่งออก ซึ่งยังคงเติบโตประมาณ 10% จากปีที่ผ่านมา
สำหรับตลาดรวมยาดมในประเทศไทย คาดการณ์ว่ามูลค่าตลาดอยู่ที่ประมาณ 4,500-5,000 ล้านบาท ปัจจุบันมีแบรนด์โป๊ยเซียนเป็นผู้นำตลาดด้วยส่วนแบ่งกว่า 70% และเป๊ปเปอร์มิ้นท์ ฟิลด์ เป็นอันดับ 2 มีส่วนแบ่งตลาดกว่า 10%
อย่างไรก็ตาม ปีนี้คาดว่าตลาดโดยรวมจะไม่มีการเติบโต เนื่องจากการเปลี่ยนกฏการส่งออกไปจำหน่ายในต่างประเทศของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ที่ให้ยาดมที่จำหน่ายในต่างประเทศมีอายุไม่เกิน 2 ปี จากเดิม 3 ปี ซึ่งการส่งออกต่างประเทศต้องใช้เวลานานกว่าสินค้าจะเข้าไปวางจำหน่าย ณ จุดขาย ดังนั้น จึงมีการพูดคุยกับ อย. เพื่อขอให้ขยายเวลาอายุยาดมนานขึ้นเพื่อช่วยผู้ประกอบการ
นอกจากนี้ ยังได้รับผลกระทบจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่ลดลง ซึ่งกระทบกับตลาดรวม รวมถึงบริษัท เนื่องจากปัจจุบัน ยาดม ยาหม่องของประเทศไทย กลายเป็นสินค้าวัฒนธรรมของไทยไปนอก จากการที่ชาวต่างชาตินิยมซื้อกลับไปเป็นของฝาก ทั้งในกลุ่มนักท่องเที่ยวจากเอเชีย อย่าง จีน ไต้หวัน ญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ รวมถึงนักท่องเที่ยวจากยุโรป สหรัฐ ที่กำลังเป็นเทรนด์มาแรงในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา
