Technology

มารู้จัก ‘Facebook Collaborative Ads’ เครื่องมือใหม่เฟซบุ๊ก

มูลค่าของตลาดอีคอมเมิร์ซในประเทศไทยที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีมูลค่าสูงถึง 3,200 ล้านบาทในปี 2561 หรือเพิ่มสูงขึ้นราว 4 เท่าเมื่อเทียบกับยอดขายการค้าปลีกทั่วทั้งเขตภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งจากข้อมูลของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ธุรกิจอีคอมเมิร์ซในประเทศไทยนับว่าเติบโตอย่างรวดเร็วที่สุดในภูมิภาคนี้

Collaborative Ad Pepsi Case Study

เทรนด์ดังกล่าว แสดงถึงความท้าทายให้กับแบรนด์ต่างๆ ที่ไม่มีเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซเป็นของตนเอง แบรนด์ที่ขายของโดยอาศัยช่องทางออนไลน์ของพันธมิตรค้าปลีกยังต้องเผชิญปัญหาในการกำหนดกลุ่มลูกค้าที่เหมาะสมผ่านการใช้โฆษณาที่เกี่ยวข้องกับความสนใจของผู้บริโภคและสามารถตอบสนองความชื่นชอบส่วนบุคคล ซึ่งโฆษณาประเภทนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อกระตุ้นให้ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อสินค้าบนเว็บไซต์หรือแอพพลิเคชั่นของผู้ค้าปลีก

ล่าสุด เฟซบุ๊กได้พัฒนาเครื่องมือช่วยขายผ่านแพลตฟอร์มเฟซบุ๊กออกมาใหม่ นั่นคือ Collaborative Ads จาก Facebook หรือโฆษณาร่วมจะช่วยนำเสนอวิธีใหม่ๆ ให้แบรนด์และเหล่าผู้ค้าปลีกได้ทำงานร่วมกันอย่างง่ายดายและปลอดภัยเพื่อสร้างยอดขายที่มากขึ้น

รูปแบบของการโฆษณาร่วม สร้างขึ้นเพื่อให้แบรนด์สามารถดึงดูดลูกค้ามาเข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์หรือแอพของผู้ค้าปลีก ดังนั้น เมื่อผู้ค้าปลีกมีการแบ่งปันกลุ่มสินค้าจากแคตตาล็อก แบรนด์จะสามารถเข้าถึงเฉพาะกลุ่มลูกค้าที่แสดงความสนใจในผลิตภัณฑ์ของแบรนด์และผ่านทางโฆษณาร่วมซึ่งดำเนินการโดยผู้ค้าปลีกเท่านั้น

Collaborative Ad Main image

ดังนั้น จะช่วยให้แบรนด์สามารถใช้ Dynamic Ads หรือโฆษณาแบบไดนามิกเพื่อโปรโมทสินค้าได้โดยตรงบนแพลตฟอร์มเฟซบุ๊ก โดยอาศัยแคตตาล็อกของผู้ค้าปลีก ขณะที่แบรนด์ไม่จำเป็นต้องแลกเปลี่ยนข้อมูลใดๆ ของลูกค้า ซึ่งข้อมูลประเภทเดียวที่แบรนด์จะมองเห็นได้คือจำนวนการซื้อที่ได้จากการโฆษณานั่นเอง

เมื่อผู้บริโภคมีตัวเลือกจำนวนมากให้ต้องตัดสินใจ เป็นต้นว่า จะซื้ออะไรและซื้อได้จากที่ไหน พวกเขามักเลือกจากประสบการณ์ที่ใกล้เคียงกับความต้องการและสะดวกสบายมากที่สุด ด้วย Collaborative Ads ผู้ค้าปลีกจะได้รับผลประโยชน์โดยสามารถดึงดูดลูกค้าจำนวนมากสู่เว็บไซต์ และสำหรับแบรนด์เองนั้นจะสามารถกระตุ้นยอดขายบนช่องทางออนไลน์ได้มากขึ้น

เคล็ดลับที่สำคัญในการใช้ Collaborative Ads เพื่อนำไปสู่ความสำเร็จนั้น ต้องอาศัยพาร์ทเนอร์ค้าปลีกเพื่อร่วมแชร์แคตตาล็อกสินค้า และเพื่อควบคุมว่าจะมีข้อมูลของสินค้าใดบ้างที่จะปรากฏบนโฆษณา การสร้างชุดสินค้าในคลังแคตตาล็อกที่ใช้ร่วมกันจึงเป็นเรื่องสำคัญ

นอกจากนี้ ชุดสินค้าคือกลุ่มของสินค้าในคลังแคตตาล็อกซึ่งแบรนด์ต่างๆ สามารถเลือกฟิลเตอร์เพื่อกำหนดจำนวนสินค้าในสต็อก ประเภทของสินค้าและราคา ทั้งนี้ เพื่อควบคุมว่าไอเท็มใดบ้างจะปรากฏอยู่บนโฆษณา ชุดสินค้าสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพร่วมกับโฆษณาแบบไดนามิก ซึ่งจะแสดงสินค้าสำหรับกลุ่มคนที่มีแนวโน้มสนใจสินค้านั้นๆ

เป๊ปซี่โค

เมื่อต้องการรันแคมเปญใหม่ในแต่ละครั้ง ให้เริ่มด้วยการตั้งค่ากลุ่มเป้าหมายที่กว้างไว้ก่อนเสมอ เพื่อดึงดูดให้กลุ่มคนจำนวนมากขึ้นกดเข้าชมเพจการขายสินค้า ซึ่งจะช่วยเพิ่มศักยภาพในการปรับกลุ่มลูกค้าใหม่ (Retargeting) ซึ่งการปรับการตั้งค่ากลุ่มค้าเป้าหมายจะช่วยให้สามารถเข้าถึงลูกค้าที่เคยกดดูสินค้าบนเว็บไซต์หรือบนแอพพลิเคชั่นมือถือก่อนหน้านี้ ให้ใช้โอกาสนี้ในการออกแบบประสบการณ์การซื้อสินค้าที่สะดวกสบายและไร้อุปสรรคเพื่อให้สามารถตอบโจทย์กับความต้องการของลูกค้า และเพิ่มโอกาสการซื้อสินค้าในท้ายที่สุด

ทั้งนี่้ มีกรณีศึกษาจาก เป๊บซี่โค ที่ร่วมมือกับลาซาด้า พันธมิตรด้านอีคอมเมิร์ซ โดยได้สร้างเพจบน เฟซบุ๊ก สำหรับการโพสต์โปรโมชั่นบนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซโดยเฉพาะ และได้วางโฆษณาในรูปแบบ Collaborative Ads เพื่อโปรโมทสินค้าโดยตรงจากลาซาด้า เป๊บซี่โคยังเลือกใช้โฆษณาแบบ Carousel Ads หรือที่สามารถใส่รูปภาพได้หลายๆ ภาพ ร่วมกับ Collection Ads เพื่อแสดงข้อมูลของชนิดผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย

โฆษณาดังกล่าวถูกโพสต์ลงบนแพลทฟอร์มทั้งเฟซบุ๊กและอินสตาแกรม โดยกำหนดกลุ่มเป้าหมายไปที่ลูกค้าซึ่งแสดงความสนใจในเป๊บซี่โคหรือสินค้าประเภทอาหารและเครื่องดื่มอื่นๆ เป๊บซี่โคยังได้ปรับค่าการกำหนดกลุ่มลูกค้าในโฆษณาแบบ Dynamic Ads อื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยเจาะไปยังกลุ่มผู้บริโภคที่เคยกดดูสินค้าของเป๊บซี่โคบนลาซาด้าหรือลูกค้าที่เคยกดเพิ่มสินค้าของเป๊บซี่โคในตะกร้าบนเว็บไซต์หรือบนแอพพลิเคชั่นก่อนหน้านี้ ผลจากการทำงานดังกล่าว ช่วยให้เป๊บซี่โค (ประเทศไทย) สามารถเพิ่มยอดขายด้วยอัตราคอนเวอร์ชั่นที่สูงขึ้นถึง 15% และยังได้รับผลตอบแทนจากการใช้จ่ายโฆษณาเพิ่มขึ้นถึง 3.7 เท่า

Avatar photo