Wellness

ปฏิวัติวงการสงฆ์ แก้ 5 โรครุมเร้า

 

1514037438309

 

วันหยุดยาวปลายเดือนนี้  27-30 กรกฎาคม หลายคนนึกถึงการเดินทางท่องเที่ยวต่างจังหวัดหรือต่างประเทศ แต่หากมองปฏิทินกันสักหน่อยจะพบที่มาของวันหยุด นอกจากวันเฉลิมพระชนมพรรษาของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร รัชกาลที่ 10 แล้วยังเป็นวันสำคัญทางศาสนา วันเข้าพรรษา และอาสาฬหบูชา ซึ่งตรงกับวันที่ 27 และ 28 กรกฎาคม

วันสำคัญอย่างนี้ชาวพุทธ 95 % ในประเทศไทยรวมถึงเราๆท่านๆต้องนึกถึง “การทำบุญตักบาตร” พระสงฆ์เป็นอันดับแรก และอาหารที่เราจะตักบาตรคงหนีไม่พ้นข้าวสวย อาหารคาวหวาน และเครื่องดื่มที่ดีที่สุด ซึ่งส่วนใหญ่มักเป็นอาหารโปรดของคนที่ล่วงลับ

เหตุนี้พระสงฆ์จึงเป็นเพียงสื่อกลางในการนำความปรารถนาดีไปให้กับผู้ที่ล่วงลับ หรือแม้แต่การถวายเครื่องดื่มระหว่างวันให้กับพระสงฆ์ เช่น งานศพ ประเภทกาแฟ เครื่องดืมชูกำลัง ที่ไม่เคยขาด

เมื่อเราไม่ได้นึกถึงพระสงฆ์ในฐานะที่เป็นมนุษย์ แต่เป็นเพียงสื่อกลางระหว่างโลกนี้กับโลกที่มองไม่เห็น ทำให้หลายคนหลงลืมไปว่า อาหารคาวหวานที่ชาวพุทธตักบาตร หรือถวาย เพื่อให้พระสงฆ์ฉันนั้น จะมีผลอย่างไรต่อร่างกายของท่าน เพราะเมื่อมีญาติโยมมาถวายก็ต้องรับ ไม่อาจปฎิเสธได้

ประกอบกับพฤติกรรมของพระสงฆ์ที่ไม่หลีกเลี่ยงอาหารทำหลายสุขภาพด้วยตัวเอง ไม่ลดละอาหารหวานมันเค็ม ซ้ำร้ายไม่ออกกำลังกายด้วยเกรงผิดวินัย

เมื่อสะสมนานวันเข้า พระสงฆ์จึงเผชิญกับปัญหาสุขภาพอย่างหนักในเวลานี้  โดยเฉพาะการเจ็บป่วยจากโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ได้แก่ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง หัวใจ และไขมันในเลือดสูง ไม่แตกต่างจากฆราวาส ซึ่งล้วนมีสาเหตุจากพฤติกรรมที่สงผลต่อสุขภาพเช่นเดียวกัน

 

สถานการณ์สุขภาพพระสงฆ์2

33.3%พระสงฆ์เป็นโรคอ้วน

เมื่อพระสงฆ์ 300,000 รูปในประเทศไทยเป็นกลุ่มประชากรที่ถูกมองข้าม ผลจากโครงการวิจัย “ศึกษาแนวทางการเสริมสร้างสุขภาวะที่ดีของพระภิกษุสงฆ์”  สถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปี 2554-2555  จึงพบว่าพระสงฆ์อยู่ในเกณฑ์อ้วน 45.1%  มีโรคประจำตัว 40.2 % และพระสงฆ์มีสุขภาพดี 33.3%

พระสงฆ์ที่อาพาธมีหลายโรครุมเร้า ทั้งช่วยเหลือตัวเองได้ จนถึงอาพาธติดเตียง ข้อมูลกรมการแพทย์ ปี 2559 ระบุว่า พระสงฆ์และสามเณรอาพาธมารับการรักษาที่โรงพยาบาลสงฆ์ 5 อันดับแรก ประกอบด้วย

  1. โรคไขมันในเลือดสูง 9,609 ราย
  2. โรคความดันโลหิตสูง 8,520 ราย
  3. โรคเบาหวาน 6,320 ราย
  4. โรคไตวายเรื้อรัง 4,320 ราย
  5. โรคข้อเข่าเสื่อม 2,600 ราย

สอดคล้องกับผลการตรวจคัดกรองสุขภาพพระสงฆ์และสามเณรทั่วประเทศ 349,659 รูปของกรมอนามัย ที่พบปัญหาสุขภาพพระสงฆ์

  • เขตกทม.มีภาวะไขมันสูงผิดปกติ ทำให้เกิดโรคอ้วนมากที่สุด
  • ภาคใต้ มีภาวะกรดยูริกสูง และการทำงานของไตผิดปกติ
  • ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พบภาวะโลหิตจาง และพบพระสงฆ์อายุ 35 ปีขึ้นไปเสี่ยงต่อการทำงานของไตผิดปกติถึง 8 เท่าและหากมีภาวะอ้วนร่วมด้วยก็จะเสี่ยงต่อการเกิดโรคไขมันในเลือดผิดปกติและเบาหวานมากกว่าธรรมดา 2 เท่า

อุปสรรคสำคัญของการดูแลพระสงฆ์ คือ พระสงฆ์จำนวนมากเข้าไม่ถึงบริการสุขภาพ ด้วยเพราะการไปโรงพยาบาลเพื่อรักษาอาการต่างๆ เป็นเรื่องยุ่งยาก สุ่มเสี่ยงต่อการทำผิดพระธรรมวินัย ซึ่งเป็นข้อควรปฏิบัติและข้อห้ามต่างๆ กำกับพระสงฆ์ที่มีอยู่ถึง 227 ข้อ ตั้งแต่การเดินทางจนถึงการรักษาที่มีหมอพยาบาลเป็นผู้หญิง

ผลที่ตามมาก็คือพระสงฆ์ถูกแยกขาดจากระบบการรักษาพยาบาล ทั้งงานส่งเสริมสุขภาพก็เข้าไม่ถึง

มหาเถรฯเป็นเจ้าภาพสร้างสุขภาวะพระสงฆ์

สถานการณ์อย่างนี้ทำให้วงการพระสงฆ์ไม่สามารถอยู่เฉยได้ คณะกรรมการมหาเถรสมาคมจึงมีมติขับเคลื่อนงาน “พระสงฆ์กับการพัฒนาสุขภาวะ” ขึ้นเมื่อปี 2560 โดยให้วัดส่งเสริมสุขภาพที่คณะสงฆ์ทำงานร่วมกับกระทรวงสาธารณสุขมาระยะหนึ่งแล้ว เป็นกลไกในการทำงาน ร่วมกับ “ธรรมนูญสุขภาพพระสงฆ์แห่งชาติ” ซึ่งเป็นเครื่องมือใหม่

โดยให้ทั้งสองเครื่องมือถูกดึงเข้าสู่แผนงานสาธารณสงเคราะห์ของมหาเถรสมาคมท้นที เพื่อให้วงการสงฆ์ลุกขึ้นมาขับเคลื่อนเรื่องนี้เอง ต่อมาได้มอบหมายให้กรรมการมหาเถรสมาคม 2 รูป ประกอบด้วย พระพรหมวชิรญาณ  วัดยานนาวา และพระพรหมบัณฑิต  วัดประยูรวงศาวาส เป็นที่ปรึกษาโครงการ “พระสงฆ์กับการพัฒนาสุขภาวะ” ทำงานร่วมกับหน่วยงานต่างๆ

จากนั้นกระบวนการ “ธรรมนูญพระสงฆ์แห่งชาติ” ก็เป็นเครื่องมือที่ถูกนำมาใช้เป็นรูปธรรม  เพื่อวางกฎกติการ่วมกันในการทำให้เกิดสุขภาวะในพระสงฆ์

ก่อนร่างกติกามีการรับฟังความเห็นทั่วประเทศ โดยสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.)เป็นฟันเฟืองหลักในการทำงาน  และมีหน่วยงานรวมถึงองค์กรต่างๆเข้ามาร่วมสนับสนุน มีการจัดเวทีรับฟังความเห็น 4 ภาค และคณะสงฆ์ธรรมยุต 1 เวที แต่ละเวทีมีทั้งคณะสงฆ์จากมหานิกายและธรรมยุต รวมถึงฝ่ายฆราวาสเข้าร่วมจำนวนมาก

กระทั่งธรรมนูญฯฉบับนี้ออกมาเป็นรูปเป็นร่าง ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการมหาเถรสมาคมเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2560 และประกาศ “ธรรมนูญสุขภาพพระสงฆ์แห่งชาติ” ต่อสาธารณะในงานประชุมสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 10 เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2560 โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมลงนามประกาศเจตนารมณ์ร่วมกับคณะสงฆ์ครั้งนี้ ประกอบด้วย กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ สำนักงานหลักประกันสุขภาพ (สปสช.) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.)

ในธรรมนูญพระสงฆ์แบ่งเป็นหมวด 1 ปรัชญา และแนวคิดหลักของธรรมนูญสุขภาพพระสงฆ์แห่งชาติ 2.พระสงฆ์กับการดูแลสุขภาพตามหลักพระธรรมวินัย หมวด 3 ชุมชนและสังคมกับการดูแลสุขภาพพระสงฆ์ที่ถูกต้องตามหลักพระธรรมวินัย หมวด 4 บทบาทของพระสงฆ์ในการเป็นผู้นำด้านสุขภาวะของชุมชนและสังคม หมวด 5 การขับเคลื่อนธรรมนูญสุขภาพพระสงฆ์แห่งชาติสู่การปฏิบัติ

 

พระสงฆ์ สามเณรอาพาธ ใหม่

ร่างแผนงานสู่การปฏิบัติ

ล่าสุดธรรมนูญฉบับนี้ถูกขับเคลื่อนเป็นรูปธรรมแล้วผ่าน “คณะกรรมการขับเคลื่อนธรรมนูญพระสงฆ์แห่งชาติ” ที่มีพระพรหมวชิรญาณ  วัดยานนาวา เป็นประธานกรรมการฝ่ายสงฆ์ และนพ.ณรงค์ศักดิ์ อังคะสุวพลา เป็นประธานกรรมการฝ่ายฆราวาส

โดยมีมติเมื่อเร็วๆนี้อนุมัติแนวทางขับเคลื่อน  5 ประเด็นหลัก ประกอบด้วย

  1. พัฒนาระบบฐานข้อมูลพระสงฆ์ มุ่งเน้นการจัดทำทะเบียนพระสงฆ์ทั่วประเทศ และเชื่อมโยงฐานข้อมูลกับระบบทะเบียนราษฎร์ เพื่อกำหนดแนวทางการดูแลและจัดบริการสุขภาพ
  2. พัฒนาพระคิลานุปัฏฐาก หรือ พระผู้ดูแลพระสงฆ์อาพาธ และทำหน้าที่สร้างเสริมสุขภาพพระสงฆ์ โดยจะตั้ง 1 รูปเป็นอย่างน้อยต่อ 1 อำเภอภายในปี 2562 และอย่างน้อย 1 ตำบลภายในปี 2564 และวัดละ 1 รูปภายในปี 2566 โดยจัดหลักสูตรฝึกอบรมที่ชัดเจน รวมถึงการพัฒนาทีมร่วมทำงานในระดับพื้นที่ ทั้งพระสงฆ์ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) และจิตอาสา
  3. ให้วัดส่งเสริมสุขภาพมีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่เอื้อต่อการดูแลสุขภาพพระสงฆ์ อาทิ พื้นที่สำหรับดูแลสุขภาพพระสงฆ์อาพาธ หรือมีกฏิสงฆ์อาพาธ เป็นต้น
  4. สื่อสารสาธารณะที่ทำให้เกิดความรู้ความเข้าใจแก่พระสงฆ์ คณะสงฆ์ และประชาชน
  5. การขับเคลื่อนธรรมนูญสุขภาพพระสงฆ์ในระดับพื้นที่ โดยมุ่งเน้นนำร่องใน 20 จังหวัดที่มีความพร้อม อาทิ นครราชสีมา และจัดอบรมถวายองค์ความรู้ให้แก่พระนักสื่อสาร พระนักพัฒนา พระสังฆาธิการ และพระคิลานุปัฏฐากระดับเขต

และจะมีการตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นมาเพื่อแยกกันทำงานตามภารกิจ 4 คณะ ประกอบด้วยคณะอนุกรรมการจัดการระบบข้อมูลพระสงฆ์ อนุกรรมการขับเคลื่อนด้านการพัฒนาพระคิลานุปัฏฐาก และขับเคลื่อนด้านการสนับสนุนงานวัดส่งเสริมสุขภาพ อนุกรรมการขับเคลื่อนด้านการสื่อสารสาธารณะ อนุกรรมการสนับสนุนการขับเคลื่อนงานระดับพื้นที่ โดยจะมีทั้งพระสงฆ์ หน่วยงานและประชาชนร่วมกันทำงาน

การขับเคลื่อนสุขภาวะพระสงฆ์ครั้งนี้ถือเป็นการปฏิรูปวงการสงฆ์ครั้งใหญ่อีกคำรบหนึ่ง เพื่อให้ปัญหาที่ถูกกลบไว้ใต้พรมอย่างสุขภาพพระสงฆ์ที่กำลังวิกฤติถูกดึงขึ้นมาแก้ไขเป็นรูปธรรม โดยมีพระสงฆ์เห็นความสำคัญของสุขภาวะด้วยตัวเอง และเป็นแกนนำในการขับเคลื่อนในหมู่สงฆ์ เพื่อให้การปรับพฤติกรรมการบริโภค และการออกกำลัง รวมถึงการบริการสุขภาพให้กับพระสงฆ์สอดคล้องกับพระธรรมวินัย พร้อมกับให้พระสงฆ์เป็นกลไกในการดึงประชาชนเข้ามาร่วมในงานส่งเสริมสุขภาวะพระสงฆ์ ซึงจะส่งผลให้ประชาชนปรับพฤติกรรมตนเองไปสู่สุขภาวะด้วย

ถือว่าการปฏิวัติวงการพระสงฆ์ในเรื่องสุขภาวะครั้งนี้ยิงปืนนัดเดียวได้นกหลายตัวเลยทีเดียว

Avatar photo