Finance

‘ซื้อหุ้นคืน’ ทางรอดดันหุ้นร้อนฟื้นจริงหรือ!!

หุ้นที่มีเก็งกำไรสูงรอบครึ่งปีแรก

ช่วงครึ่งแรกของปี 2561 ภาพรวมการลงทุนในตลาดหุ้นไทยเป็นไปอย่างผันผวน หลังจากที่ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวขึ้นไปทุบสถิติสูงสุดประวัติการณ์ที่ระดับ 1,883.96 จุด จากนั้นก็ปรับตัวลดลงอย่างรวดเร็ว และต่อเนื่อง จนล่าสุดได้ปรับลดลงต่ำสุดไปที่ระดับ 1,595.58 จุด ก่อนที่จะกระเตื้องขึ้นมายืนเหนือระดับ 1,600 จุดได้เป็นระยะ

สำหรับหุ้นที่มีแรงเก็งกำไร ยังคงได้รับความนิยมในตลาดหุ้นไทยต่อเนื่อง โดยเฉพาะช่วงที่ตลาดหุ้นผันผวนแรงเช่นนี้  ซึ่งช่วงครึ่งแรกของปีนี้หุ้นที่มีความร้อนแรง และเป็นที่จดจำของผู้ลงทุนก็เห็นจะเป็นหุ้นของ 3 บริษัท ประกอบด้วย หุ้นพลังงานบริสุทธิ์  จำกัด(มหาชน) หรือ EA หุ้นบริษัท ซุปเปอร์ เอนเนอร์ยี คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือSUPER และหุ้นบริษัท บิวตี้ คอมมูนิตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ BEAUTY

ช่วงต้นปีราคาหุ้นทั้ง 3 บริษัทมีลักษณะที่คล้ายคลึงกันคือ มีแรงซื้อเข้ามาเก็งกำไรอย่างคึกคัก  จนทำให้ระดับราคาไต่ระดับขึ้นไปทำนิวไฮ เช่นเดียวกับดัชนีหุ้นไทย ซึ่งการที่ผู้ลงทุนมีความเชื่อมั่นในอนาคต และคาดหวังว่าบริษัทมีศักยภาพความสามารถให้มีผลประกอบการที่ดีขึ้น จึงทำให้มีแรงซื้อโหมเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ผสมโรงกับบรรดาผู้ลงทุนที่ต้องการเข้ามาเก็งกำไร เพียงเพื่อหวังกำไรจากส่วนต่างราคาหุ้นเท่านั้น ส่งผลให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นไปสูงเกินกว่าปัจจัยพื้นฐานที่แท้จริงอย่างรวดเร็ว

การที่ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นแรง และสูงกว่ามูลค่าพื้นฐานนั้น ข้อมูลเบื้องต้นส่วนใหญ่วัดจากราคาหุ้นเทียบกับกำไรต่อหุ้น หรือ พีอีเรโช  ซึ่งอาจนำมาเปรียบเทียบจากพีอีหุ้นที่อยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมเดียวกัน ซึ่งจะพบว่า หุ้นทั้ง 3 บริษัท มีค่าพีอีเรโชที่สูงมาก หากเทียบกับกลุ่มอุตสาหกรรม และบริษัทในกลุ่มธุรกิจเดียวกัน นั่นแสดงว่า ผู้ลงทุนมีความเชื่อมั่นกับอนาคตของบริษัทนั้นๆ

หากย้อนดูข้อมูลพีอีโรโชของหุ้นร้อนทั้ง 3 บริษัทช่วงที่ราคาหุ้นไต่ระดับขึ้นไปทำนิวไฮใหม่นั้น หุ้นอีเอ มีค่าพีเรโช ต้นปีอยู่ที่ 67 เท่า โดยราคาหุ้นปรับตัวขึ้นไปยืนสูงสุดที่ 71.25 บาท หุ้นซุปเปอร์ ค่าพีอีเรโชอยู่ที่ 33 เท่า ราคาสูงสุดอยู่ที่ 1.52 บาท หุ้นบิวตี้ ค่าพีอีเรโชอยู่ที่ 66 เท่า ราคาสูงสุดอยู่ที่ 23.70 บาท

เมื่อราคาก้าวเข้าสู่ระดับนิวไฮแล้ว จากนั้นพบว่า มีสัญญาณการขายหุ้นของผู้บริหาร และผู้ถือหุ้นใหญ่ออกมาให้เห็นก่อนเสมอ ส่งผลให้ผู้ลงทุนตื่นตระหนก และเกิดความกังวลใจต่อนาคตของบริษัท จึงพร้อมใจพากันเทขายหุ้นออกมาทำให้ราคาหุ้นปรับตัวลดลงแรงอย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตาม การที่ผู้บริหารหรือผู้ถือหุ้นใหญ่ ซึ่งถือว่าเป็นบุคคลวงใน ได้เทขายหุ้นออกนั้น ถือได้ว่าเป็นสัญญาการบั่นทอนความเชื่อมั่นของผู้ลงทุนที่มีต่อหุ้นของบริษัทนั้นๆได้เป็นอย่างดี  ซึ่งจะเห็นว่า หุ้นเก็งกำไรทั้ง 3 บริษัท ก็มีพฤติกรรมที่คล้ายคลึงกัน  ดังนั้น เมื่อราคาหุ้นเคยปรับตัวขึ้นไปยืนอยู่ระดับนิวไฮ ในรอบหลายๆปี เมื่อบุคคลวงในขายหุ้นก็ทำให้มีแรงเทขายตามออกมาอย่างรวดเร็ว ซึ่งในระยะเวลาเพียง 1-2 วัน ราคาหุ้นปรับตัวลดลงมากกว่า 60% น่าจะเกิดจากผู้ถือหุ้นต่างตื่นตระหนก และพร้อมใจกันเทขายหุ้นตาม  ดังนั้น สะท้อนให้เห็นว่า ความเชื่อมั่นในอนาคตของบริษัทที่เคยมีให้หายไปในทันที

ทั้งนี้ จากการรวบรวมข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พบว่าปัจจุบัน 3 หุ้นเก็งกำไรปรับตัวลดลงในทิศทางเดียวกันทั้งหมด ประกอบด้วย หุ้นอีเอ ราคาปรับลดลงมาจากระดับราคาสูงสุดถึง 43% โดยมาอยู่ที่ราคา 30บาทต่อหุ้น ค่าพีอีเรโชปรับลดลงมาอยู่ที่ 23 เท่า หุ้นซุปเปอร์ราคาปรับลดลง 41% โดยมาอยู่ที่ 0.68 บาท  พีอีเรโช ลดลงมาอยู่ที่ 15 เท่า และหุ้นบิวตี้ ราคาหุ้นปรับลดลงกว่า 61% ราคาอยู่ที่ 7-8 บาท พีอีเรโชลดลงมาอยู่ที่่ 18 เท่า

จากข้อมูลดังกล่าวจะเห็นว่า ค่าพีอีเรโชในตอนที่ราคาสูงสุดเปรียบเทียบกับ ปัจจุบัน ปรับลดลงมากกว่า 50%และแม้ว่าทั้ง 3 บริษัทจะเลือกใช้วิธีการแก้ไขปัญหาด้วยการประกาศซื้อหุ้นคืน ไม่ว่าจะเป็นการเข้าซื้อหุ้นคืนด้วยเงินของผู้บริหารหรือผู้ถือหุ้นใหญ่  แม้กระทั่งเลือกใช้เงินลงทุนของบริษัทซื้อหุ้นคืน ก็ไม่ได้ทำให้ราคาหุ้นฟื้นกลับมาได้ แต่จะทำได้แค่ประคองไม่ให้ราคาลงไปจนต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐานของบริษัทเท่านั้น

นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เออีซี  ประเมินว่า การที่ หุ้นบิวตี้ แจ้งมติซื้อหุ้นคืนวงเงิน 950 ล้านบาท ไม่เกิน 64 ล้านหุ้น คิดเป็น 2.13% ของจำนวนหุ้นชำระแล้วทั้งหมด ในวันที่ 24 ก.ค.2561- 23 ม.ค.2562 ซึ่งมองว่า ยังยากที่จะเรียกความเชื่อมั่นคืน และนักลงทุนยังกังวลต่อผลประกอบการที่มีแนวโน้มอ่อนแอนับจากนี้ไปมากกว่า

สอดคล้องกับ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) มองว่า ผลกระทบของการที่บิวตี้ประกาศนโยบายซื้อหุ้นคืนนั้น โดยปกติการซื้อหุ้นคืน ไม่ได้ทำให้ปัจจัยพื้นฐานเปลี่ยน เพียงแต่หากราคาหุ้นลงมา ก็จะมีแรงซื้อเข้ามาพยุง เมื่อบริษัทเห็นว่าราคาหุ้นลงมามากไป และที่ผ่านมาราคาหุ้นบิวตี้ปรับลง คาดว่าส่วนหนึ่งมาจากความผิดหวังที่สัดส่วนการซื้อหุ้นคืนจำนวนน้อย และเมื่อถึงกำหนดในอนาคตภายใน 3 ปีหลังจากซื้อ บริษัทต้องตัดสินใจว่าจะขายออกมาในตลาดฯหรือลดทุนจดทะเบียน ซึ่งจะให้ผลแตกต่างกันคือ ขายออกมา อาจมีแรงขาย (selling pressure) ในช่วงนั้น  หรือวิธีลดทุนจดทะเบียน จำนวนหุ้นก็จะน้อยลง ทำให้กำไรสุทธิต่อหุ้น( EPS),อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลต่อหุ้น( DPS), อัตราส่วนผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้น(ROE)เพิ่มขึ้น แต่เนื่องจากซื้อคืนเพียง 2.13% ก็จะไม่มีผลมากนัก

Avatar photo
ทีมบรรณาธิการข่าว The Bangkok Insight