ก้าวเข้ามารับตำแหน่ง ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอสทีที จีดีซี (ประเทศไทย) จำกัด ได้เพียง 2 เดือน สำหรับ “ศุภรัฒศ์ ศิวะเพ็ชรานาถ สิงหรา ณ อยุธยา” หลังจากโบกมือลา บริษัท ทรู อินเทอร์เน็ต ดาต้า เซ็นเตอร์ หรือ ทรู ไอดีซี ซึ่งสำหรับ ศุภรัฒศ์ แล้ว มองว่า ความท้าทายใต้ร่มเงาใหม่ครั้งนี้คือ การทำให้ธุรกิจ ดาต้าเซ็นเตอร์เมืองไทย ก้าวสู่ยุค 2.0 จากปัจจุบันที่ถือว่าเป็นยุค 1.0 เท่านั้น
นายศุภรัฒศ์ ศิวะเพ็ชรานาถ สิงหรา ณ อยุธยา ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอสทีที จีดีซี (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า เป้าหมายและภารกิจในเอสทีทีฯ คือการมุ่งพัฒนาดาต้าเซ็นเตอร์ระดับไฮเปอร์สเกล ให้เป็นยุคใหม่ของโครงสร้างพื้นฐานอุตสาหกรรมดิจิทัลในประเทศไทย โดยก้าวแรกเริ่มจากการลงทุน 7,300 ล้านบาท ก่อตั้ง ดาต้าเซ็นเตอร์ หรือ ศูนย์ข้อมูลระดับไฮเปอร์สเกลที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ซึ่งเป็นเฟสแรก บนพื้นที่ 15 ไร่ ย่านรามคำแหง มีกำหนดแล้วเสร็จในปี 2564
ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ตลาดดาต้าเซ็นเตอร์ในประเทศไทยเติบโตปีละ 14-16% โดยปัจจัยที่ขับเคลื่อนให้ตลาดเติบโตมาจากภาคธุรกิจเอ็นเตอร์ไพร้ซ์ต่างๆ อาทิ ธุรกิจธนาคารดิจิทัล ธุรกิจอี-คอมเมิร์ซที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง ธุรกิจการสร้างและการบริโภคคอนเทนต์ที่เพิ่มขึ้น ธุรกิจวิทยาศาสตร์ข้อมูลและการวิเคราะห์ (Data science and analytics) ความสนใจเกี่ยวกับปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่มากขึ้น รวมถึงนโยบายจากภาครัฐที่ช่วยสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัล
“ภารกิจหลักของเรา คือการทำให้ธุรกิจของบริษัทเติบโตในตลาดประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง บนพื้นฐานแนวคิดที่ว่า การมุ่งเน้นการสร้างคุณค่าเพื่อดึงดูดลูกค้า และการช่วยผลักดันให้เกิดนวัตกรรมใหม่ๆ ในการบริการจะเป็นสิ่งที่เสริมให้ธุรกิจแข็งแกร่ง และสามารถแข่งขันในตลาดได้”นายศุภรัฒศ์ กล่าว
สำหรับบริษัท เอสทีที จีดีซี ประเทศไทย เป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างสองพาร์ทเนอร์ชั้นนำ เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ประเทศไทย ผู้นำการให้บริการแพลตฟอร์มด้านอสังหาริมทรัพย์ครบวงจรของประเทศไทย และ เอสที เทเลมีเดีย โกลบอล ดาต้าเซ็นเตอร์ หรือ “เอสทีที จีดีซี” (STT GDC) ผู้นำด้านการให้บริการดาต้าเซ็นเตอร์ระดับโลกจากสิงคโปร์ โดยก่อตั้งขึ้นในปี 2561 ที่ผ่านมา
การร่วมทุนครั้งนี้ เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมดิจิทัลในไทย โดยเอสทีที จีดีซี ประเทศไทย กำหนดวิสัยทัศน์ที่จะพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบดิจิทัล เพื่อรองรับจุดที่ธุรกิจเทคโนโลยีศูนย์ข้อมูลระดับไฮเปอร์สเกล และการเป็นแคมปัส เพื่อรองรับธุรกิจที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็วในกลุ่มเดียวกันให้มาอยู่ด้วยกัน เพื่อการทำงานอย่างคล่องตัว ซึ่งจะเพิ่มมูลค่าอย่างมหาศาลให้แก่ธุรกิจของลูกค้าทั้งใน และต่างประเทศด้วยบริการ “ดาต้าเซ็นเตอร์ระดับไฮเปอร์สเกล” แห่งแรกในประเทศไทย
นอกจากนี้ ยังพบว่า ตลาดดาต้าเซ็นเตอร์ของไทยอยู่ในจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงจากยุค 1.0 เข้าสู่ยุค 2.0 ซึ่งเหตุการณ์ก็จะคล้ายกับการเริ่มต้นของธุรกิจอี-คอมเมิร์ซในประเทศไทย กล่าวคือในช่วงแรกผู้ให้บริการที่สามารถบุกตลาดได้เร็วกว่า จะเป็นผู้ที่ได้เปรียบ แต่เมื่อเวลาผ่านไป ผู้ให้บริการที่มีความสามารถในการขยาย และต่อยอดธุรกิจด้วยความรวดเร็วและต่อเนื่อง รวมถึงการสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ โดยไม่มีขีดจำกัดจะเป็นผู้ที่สามารถพลิกสถานการณ์ มาสร้างคุณค่าให้ลูกค้าได้อย่างมหาศาล และจะกลายเป็นผู้นำตลาดในที่สุด
ดังนั้น การให้บริการดาต้าเซ็นเตอร์ระดับไฮเปอร์สเกล จะถือว่าเป็นการเริ่มผลักดันธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์ของประเทศไทยให้เข้าสู่ยุค 2.0 ที่แข่งขันกันที่กำลังไฟในการให้บริการ เพราะเทคโนโลยีดาต้าเซ็นเตอร์ที่พัฒนาเพิ่มมากขึ้น ทำให้ขนาดของการจัดเก็บใช้พื้นที่ลดลง แต่เพิ่มความเร็วได้มากกว่า รองรับปริมาณข้อมูลได้มหาศาล โดยสามารถรองรับขนาดไฟได้ตั้งแต่เริ่มต้นที่ 4 เมกะวัตต์จนถึง 20 เมกะวัตต์
ขณะที่การเลือกพื้นที่ย่านรามคำแหงเป็นที่ตั้งดาต้าเซ็นเตอร์ เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่มีความเสี่ยงน้อย เช่น ไม่ติดหน่วยงานราชการ สถาบันการเงิน สถานฑูต เป็นต้น รวมทั้งเป็นย่านการค้าที่มีสาธารณูปโภครองรับ โดยเฉพาะในอนาคตที่จะมีรถไฟฟ้าสายสีส้มผ่าน และมีพื้นที่มากพอสำหรับรองรับการขยายเฟส 2 ซึ่งจะพิจารณาอีกครั้งในอีก 4 ปีจากนี้ เนื่องจากต้องดูจากปริมาณความต้องการใช้งานของลูกค้าก่อน
ด้านลูกค้ากลุ่มเป้าหมายของบริษัทจะเน้นกลุ่มลูกค้าองค์กร หน่วยงานภาครัฐ และ OTT หรือการให้บริการบนอินเทอร์เน็ต โดยดูเส้นทางของลูกค้าที่จะมาใช้บริการ เช่น ในประเทศไทย มีกลุ่มลูกค้าคนจีนทั้งจากนักท่องเที่ยวชาวจีน และคนจีนที่อาศัยในเมืองไทย ซึ่งเป็นโอกาสในการทำตลาดของสินค้าและบริการที่จับกลุ่มเป้าหมายนี้ ซึ่งเป็นโอกาสของดาต้าเซ็นเตอร์ที่จะเข้าไปซัพพอร์ตธุรกิจเหล่านี้ รวมไปถึงฐานลูกค้าของบริษัท เอสทีที จีดีซี ที่ให้บริการลูกค้ารายใหญ่ๆ ทั้งในจีน อินเดีย สิงคโปร์ และสหราชอาณาจักร ซึ่งมีโอกาสจะขยายธุรกิจเข้ามาในไทยและใช้บริการดาต้าเซ็นเตอร์ในประเทศไทยเช่นกัน
ทั้งนี้ การให้บริการดาต้าเซ็นเตอร์ระดับไฮเปอร์สเกล จะเข้ามาช่วยสนับสนุนธุรกิจ เนื่องจากมีสเกล หรือขนาดที่สามารถขยายได้ตามต้องการใช้งานของลูกค้า ทำให้ลูกค้าสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายได้เนื่องจากเสียค่าบริการตามการใช้งานจริง โดยวางเป้าหมาย 4 ปีจากนี้ จะมีรายได้ 1,000 ล้านบาท