ผงาดให้บริการย่านฝั่งธนบุรีมาครบ 1 ปี เต็ม สำหรับ ไอคอนสยาม โครงการอภิมหาโปรเจคด้วยมูลค่าลงทุนสูงสุดเป็นประวัติศาสตร์ถึง 55,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นบทพิสูจน์ถึงความเป็นโกลบอล เดสติเนชั่น และตอกย้ำความสำเร็จของ แผนแม่บทแม่น้ำเจ้าพระยาและฝั่งธนบุรี พร้อมทั้งยกระดับภาพลักษณ์ของประเทศไทยในเวทีโลก ที่สำคัญคือ ภายในระยะเวลาเพียง 1 ปี ไอคอนสยามสามารถคว้ารางวัลระดับโลกมาครองถึง 8 รางวัล
นางชฎาทิพ จูตระกูล กรรมการ บริษัท ไอคอนสยาม จำกัด และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด เปิดเผยว่า ตลอด 1 ปี ของการเปิดให้บริการไอคอนสยาม ได้พิสูจน์แล้วว่า ไอคอนสยามเป็นผู้พลิกเกมจุดหมายปลายทางระดับโลก (Game Changer Destination) จากการสามารถสร้างศูนย์กลางธุรกิจและการท่องเที่ยวกลางเมืองของกรุงเทพฯ อยู่ที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาและฝั่งธนบุรีได้สำเร็จ สร้างความเจริญรุ่งเรืองกระจายไปสู่บรรดาชุมชนและธุรกิจที่รายล้อมได้อย่างมาก รวมทั้งเป็นปัจจัยสำคัญที่พัฒนาธนบุรีให้ผงาดขึ้นเป็นมหานครอย่างรวดเร็ว
“เรารู้สึกภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง ที่สามารถทำโครงการไอคอนสยาม ซึ่งเป็นโครงการของบริษัทคนไทยที่มีมูลค่าการลงทุนสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ถึง 55,000 ล้านบาท และทำได้สำเร็จได้ในระยะเวลาเพียง 5 ปี ท่ามกลางยุคที่ประเทศไทยเผชิญปัญหา วิกฤตการณ์ทางการเมืองที่ร้อนแรง และความผันผวนทางเศรษฐกิจสูงสุด”นางชฎาทิพ กล่าว
ที่สำคัญ คือ ไอคอนสยามได้พิสูจน์ให้เห็นว่าเป็นโครงการที่ช่วยเสริมสร้างเศรษฐกิจของประเทศไทยให้แข็งแกร่งขึ้น เกิดการจ้างงานกว่า 300,000 อัตรา อีกทั้งสามารถดึงเงินลงทุนจากต่างประเทศเข้าสู่ประเทศไทย ผ่านการลงทุนเปิดธุรกิจร้านต่างๆ ในโครงการ เป็นมูลค่ามากกว่า 5,000 ล้านบาท ไม่ว่าจะเป็น แอปเปิ้ล สโตร์ สาขาแรกในประเทศไทย และ แบรนด์ระดับลักซ์ชัวรี่ ที่แม้จะเปิดในประเทศไทยอยู่แล้ว แต่ก็ให้ความเชื่อมั่นและเปิดอีกสาขาระดับแฟล็กชิฟสโตร์ในไอคอนสยาม
ทั้งนี้ ถือได้ว่า ไอคอนสยามได้ก้าวข้ามและเอาชนะความท้าทายทุกรูปแบบ จนเมื่อเปิดดำเนินโครงการสำเร็จ และผ่านพ้นมา 1 ปี ด้วยผลประกอบการที่ดี ซึ่งหลายร้านมียอดขายเป็นอันดับ 2 ของประเทศไทยรองจากสาขาสยามพารากอน รวมถึงต้องการขยายพื้นที่เพิ่มอีกด้วย ไอคอนสยามได้สร้างความภาคภูมิใจให้แก่ประเทศไทยและคนไทย พร้อมทั้งก่อให้เกิดประโยชน์นานาประการแก่ชุมชนที่รายล้อมและบรรดาธุรกิจริมแม่น้ำเจ้าพระยาทั้งหมดอีกด้วย
บทพิสูจน์ที่เห็นได้ชัด จากการทุ่มเททำงานตลอด 1 ปี ของไอคอนสยามคือ การส่งอานิสงส์ต่อภาคธุรกิจต่างๆ โดยรอบ ทั้วภาคอสังหาริมทรัพย์ การท่องเที่ยว โรงแรม ตลอดจนระดับชุมชนทั่วประเทศ ที่ไอคอนสยามให้การสนับสนุนนำสินค้าเข้ามาจำหน่าย โดยปัจจุบัน ไอคอนสยาม มีทราฟฟิกผู้เข้ามาใช้บริการวันละประมาณ 1 – 1.5 แสนคนต่อวัน และในช่วงเทศกาลต่างๆ จะเพิ่มขึ้นเป็น 2- 3.5 แสนคนต่อวัน มียอดการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวเฉลี่ย 10,000 คนต่อหัวต่อครั้ง โดยนักท่องเที่ยวที่มาใช้บริการมากสุดคือ จีน ตามด้วย เกาหลี ไต้หวัน อินเดียและจากประเทศซีแอลเอ็มวี ตามลำดับ
ในส่วนภาคธุรกิจที่ได้รับอานิสงส์ อย่างกลุ่มท่องเที่ยว ทั้งการท่องเที่ยวทางน้ำ โรงแรม ร้านอาหาร พบว่า สามารถกระตุ้นภาคการท่องเที่ยวและสร้างการเติบโตให้กับภาคธุรกิจโรงแรม โดยอัตราการเข้าพักของโรงแรมระดับ 5 ดาวในพื้นที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาเพิ่มขึ้นในอัตราสูงเกินกว่าเป้าหมายที่คาดการณ์ไว้ เช่นช่วงเทศกาลลอยกระทง และปีใหม่ พบว่า โรงแรมโดยรอบริมน้ำเจ้าพระยา มีอัตราการจองเต็ม 100% แล้ว
ด้านนาวาโท ปริญญา รักวาทิน นายกสมาคมการค้าธุรกิจในแม่น้ำเจ้าพระยา กล่าวเสริมว่า ผลประโยชน์ในเชิงเศรษฐกิจได้แผ่กระจายไปยังธุรกิจอื่นทุกประเภทและทุกระดับนอกเหนือจากโครงการไอคอนสยาม โดยกิจการต่างๆ ตลอดลำน้ำเจ้าพระยา เขตคลองสาน และพื้นที่โดยรอบในย่านเจริญนคร ต่างได้รับประโยชน์ทั้งร้านค้า ภัตตาคาร และโรงแรม มีจำนวนผู้มาใช้บริการและมียอดขายที่เพิ่มขึ้น
ขณะที่ภาพรวมของธุรกิจในแม่น้ำเจ้าพระยามีการเติบโตขึ้นกว่า 20% มีการลงทุนต่อเนื่องทั้งโครงการอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ โรงแรมระดับ 5 ดาว โครงการมิกซ์ยูส รวมถึงแหล่งท่องเที่ยว ภัตตาคาร ร้านอาหาร เรือนำเที่ยว เรือดินเนอร์กลางคืน ฯลฯ ระบบการเดินทางโดยแม่น้ำเจ้าพระยาเพิ่มขึ้น 10-15% เรือด่วนและเรือท่องเที่ยวมีผู้สัญจรทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติเพิ่มจากประมาณ 4 หมื่นคนต่อวันเป็น 5 หมื่นคนต่อวัน เพิ่มขึ้นถึงวันละ 10,000 คน หรือปีละ 3,650,000 คน
สำหรับภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์นั้น นางสาวอลิวัสสา พัฒนถาบุตร กรรมการผู้จัดการ บริษัทซีบีอาร์อี (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า พื้นที่ย่านคลองสานและเจริญนคร ที่เคยเงียบเหงาและอยู่นอกสายตาของผู้คนในแวดวงอสังหาริมทรัพย์มาตลอด กลับกลายเป็นทำเลทองที่ผู้พัฒนาโครงการและนักลงทุนต่างให้ความสนใจ โดยโครงการไอคอนสยาม เป็นโครงการนำร่องที่จุดประกายเรื่องการท่องเที่ยว การลงทุน และการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในย่านฝั่งธนบุรี
ทั้งนี้เห็นได้จาก ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาตั้งแต่เริ่มเปิดตัวโครงการ จนถึงโครงการสร้างแล้วเสร็จ มูลค่าของที่ดินบริเวณถนนเจริญนครบริเวณใกล้เคียงกับไอคอนสยาม สูงขึ้นกว่าสองเท่า จากราคาตารางวาละ 150,000 -250,000 บาท เป็นตารางวาละ 300,000 – 450,000 บาท ส่วนในตลาดที่อยู่อาศัยมีโครงการคอนโดมิเนียมเปิดขายใหม่ในฝั่งธนบุรีปี 2561 ถึง 12 โครงการ จำนวน 6,509 ยูนิต และในปี 2562 มี 8 โครงการจำนวน 5,538 ยูนิต
เมื่อพิจารณาโครงการคอนโดมิเนียมที่เปิดขายใหม่ในปี 2560-2562 เฉพาะที่ตั้งอยู่ใกล้กับไอคอนสยาม บนถนนเจริญนครและคลองสาน 3 โครงการ จำนวน 1,508 ยูนิต พบว่า มียอดขายรวมเฉลี่ยสูงถึง 95 % ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงดีมานด์สะสมของผู้ซื้อในย่านดังกล่าว และนักลงทุนจากย่านอื่นๆ ที่มองเห็นศักยภาพในการเจริญเติบโต และความเป็นทำเลที่เหมาะกับการอยู่อาศัย ทั้งในแง่การเดินทางที่สะดวกสบาย และมีสิ่งอำนวยความสะดวกที่เทียบเท่ากับฝั่งใจกลางย่านธุรกิจอื่น ๆ ของกรุงเทพฯ
“เรียกได้ว่า โครงการไอคอนสยามได้เติมเต็มความสมบูรณ์แบบให้กับไลฟ์สไตล์ของการอยู่อาศัย การทำธุรกิจ และเสริมความโดดเด่นให้กับพื้นที่ในเรื่องการคมนาคมทั้งระบบรถ-ราง-เรือ โดยเฉพาะรถไฟฟ้าสายสีทองซึ่งกำลังก่อสร้างมีกำหนดแล้วเสร็จภายในปี 2563″นางสาวอลิวัสสา กล่าว
นางชฎาทิพกล่าวเพิ่มเติมว่า ในโอกาสครบรอบ 1 ปี และเข้าสู่เทศกาลเฉลิมฉลอง ได้เตรียมงบลงทุนรวม 300 ล้านบาท จัดแคมเปญเฉลิมฉลองครั้งใหญ่ถึง 10 อีเวนต์ ในเดือนพฤศจิกายน – ธันวาคม ภายใต้ธีม “The Great Iconic Celebration” อาทิ มหาปรากฏการณ์ “The Celebrations of Glory ICONSIAM” การแสดงแสงสีเสียงสุดตระการตาบนแม่น้ำเจ้าพระยา, การเปิดให้บริการ “TRUE ICON HALL” ศูนย์การประชุมระดับโลกที่ได้มาตรฐานระดับสากลแห่งแรกในประเทศไทย บนชั้น 7 ด้วยงบลงทุน 2,000 ล้านบาท, งานฉลองครบรอบ 1 ปี ห้างสรรพสินค้าสยาม ทาคาชิมายะ, ฉลอง ๑ ศก แห่ง 7 สุข ที่เมืองสุขสยาม ครบรอบ 1 ปี, งาน มหาปรากฏการณ์เทศกาลลอยกระทง, มหกรรมเลโก้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นต้น
อีกอีเวนต์สำคัญคือ การเฉลิมฉลองเทศกาลส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ ด้วยการจัดแสดงเทศกาลประดับไฟยิ่งใหญ่ตลอดริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา, ICONSIAM World of Gifts เทศกาลของขวัญ และ Amazing Thailand Countdown 2020 ที่สุดของมหาปรากฏการณ์ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ของประเทศไทย ซึ่งเกิดขึ้นจากความร่วมมือของพันธมิตรภาครัฐและเอกชน ภายใต้แนวคิดแม่น้ำแห่งความรุ่งเรือง
