ทางการรัฐแคลิฟอร์เนีย ออกคำเตือนประชาชนเตรียมพร้อม ต้องอพยพทันทีที่ได้รับแจ้ง หลังกระแสลมแรงมีแนวโน้มที่จะทำให้ไฟป่าในพื้นที่ลุกลาม และเพิ่มความรุนแรงมากขึ้น
ไฟป่าที่เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อ 6 วันที่แล้ว เผาผลาญพื้นที่ไปแล้วมากกว่า 2 เท่าของขนาดเมืองซานฟรานซิสโก ทำลายบ้านเรือนไปแล้ว 60 หลัง ขณะที่เจ้าหน้าที่ดับเพลิงกำลังเร่งความพยายามที่จะเร่งจัดการกับจุด “ฮอท สปอต” ด้วยความหวังว่าจะช่วยบรรเทาความรุนแรงของไฟได้ ก่อนที่กระแสลมที่คาดว่าจะเคลื่อนที่ด้วยความเร็วราว 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมงจะเคลื่อนตัวเข้ามาในพื้นที่ ตั้งแต่เวลา 03.00 น. วันนี้ (30 ต.ค.) ตามเวลาในสหรัฐ และตลอดทั้งวันพรุ่งนี้ (31 ต.ค.) ซึ่งจะทำให้ไฟลุกโหมแรงขึ้นมาอีกครั้ง
สำนักงานบริการสภาพอากาศแห่งชาติสหรัฐ ยังได้ออกคำเตือนลมแรง 24 ชั่วโมง เริ่มตั้งเที่ยงวันอังคาร (29 ต.ค.) ตามเวลาท้องถิ่น สำหรับพื้นที่ทางตอนเหนือของแคลิฟอร์เนีย ที่มีการระดมกำลังเจ้าหน้าที่ดับเพลิงมากกว่า 4,500 คนเข้าควบคุมไฟป่าคินเคด ซึ่งมีขนาดใหญ่สุดในรัฐในปีนี้
ขณะที่ ในพื้นที่ทางตอนใต้ของรัฐแคลิฟอร์เนียนั้น กระแสลมแรงทำให้ไฟป่าเก็ตตี้ ซึ่งอยู่ทางตะวันตกของย่านการค้านครลอสแองเจลิส โหมแรงขึ้นมาอีกครั้ง ทำให้ทางการต้องสั่งอพยพประชาชนในพื้นที่ตอยบนของเมือง ทั้งสำนักงานบริการสภาพอากาศ ยังออกคำเตือนถึงไฟป่าที่จะโหมแรงขึ้นอย่างมากในช่วงกลางคืน
คำเตือนระดับสูงสุดที่ออกมาเกิดขึ้นเพียงไม่กี่วัน หลังจากที่นายเกวิน นิวสัน ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนีย ประกาศภาวะฉุกเฉินทั่วทั้งรัฐ เพราะเหตุไฟป่าที่เกิดขึ้นในปีนี้
แปซิฟิค แก๊ส แอนด์ อิเลคทริค ผู้ให้บริการสาธารณูปโภคพื้นฐานในรัฐแคลิฟอร์เนีย ยังได้ยุติการจ่ายไฟในพื้นที่ทางตอนเหนือ และตอนกลางของรัฐเป็นการชั่วคราว ในความพยายามที่จะลดความเสี่ยงของการเกิดไฟไหม้ขึ้น ส่งผลให้ประชาชนหลายล้านคนต้องใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางความมืด
ทั้งนี้ ไฟป่าคินเคด เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อวันที่ 23 ตุลาคมที่ผ่านมา และทำให้มีคำสั่งอพยพประชาชนเกือบ 200,000 คน ซึ่งนอกจากจะเผาไหม้บ้านเรือนจำนวนมากแล้ว ยังสร้างความเสียหายอย่างหนักให้กับพื้นที่ปลูกองุ่น สำหรับการผลิตไวน์ ในเขตโซโนมาด้วย
เจ้าหน้าที่คาดการณ์ว่า จะยังไม่สามารถควบคุมไฟป่าได้ อย่างน้อยจนกว่าจะถึงวันที่ 7 พฤศจิกายนนี้ และหลังจากนั้น คาดว่าไฟยังจะคุกรุ่นต่อไปอีกหลายสัปดาห์ โดยตลอดช่วง 8 วันที่ผ่านมา แคลิฟอร์เนียต้องเผชิญกับไฟป่าที่ปะทุขึ้นมาตามจุดต่างๆ หลายสิบจุด ผลจากกระแสลมแรง ความชื้นต่ำ และอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้น
