Business

ไทคอนร่วมทุนจัสท์โคสู่การสร้าง Smart Solution ตอบโจทย์ลูกค้า

บรรยากาศการแถลงข่าว
ปัจจุบัน ต้องยอมรับว่า การทำความเข้าใจลูกค้าให้มากขึ้นนั้นกลายเป็นสิ่งจำเป็นพื้นฐานของภาคธุรกิจไปเสียแล้ว และการจะเข้าให้ถึงใจลูกค้านั้น นอกจากการสร้างความสัมพันธ์ในแบบทั่ว ๆ ไปแล้ว การใช้ข้อมูล และอัลกอริธึมเข้ามาวิเคราะห์ก็เป็นสิ่งที่ภาคธุรกิจนำมาปรับใช้มากขึ้น เห็นได้จากการปรับตัวครั้งใหญ่ของกลุ่มอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอุตสาหกรรมอย่าง “ไทคอน” ในการก้าวขึ้นมาเป็นแพลตฟอร์มที่สามารถเข้าใจคู่ค้า และมีสมาร์ทโซลูชันต่าง ๆ เอาไว้รองรับให้ครบวงจร

โดยนายโสภณ ราชรักษา ผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ไทคอน อินดัสเทรียล คอนเน็คชั่น จำกัด (มหาชน) เผยว่า มองเห็นความต้องการของตลาดที่เพิ่มขึ้น จากเดิมที่ลูกค้าของไทคอนอาจเป็นชาวต่างชาติหิ้วกระเป๋ามาหนึ่งใบ แล้วมามองหาโรงงาน หรืออสังหาริมทรัพย์อื่น ๆ ที่ประเทศไทย มาในวันนี้ ลูกค้ากลุ่มนี้อาจต้องการ “สิทธิประโยชน์อื่นๆ” เช่น คอนเน็คชั่น, ศูนย์จัดเก็บข้อมูล, พื้นที่สำนักงานใจกลางกรุงเทพฯ ไว้สำหรับนัดประชุมกับคู่ค้า ฯลฯ เพิ่มเติม

นั่นจึงทำให้บริษัทอย่างไทคอน จากเดิมที่เคยเป็นผู้ให้บริการในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอุตสาหกรรม มีการปรับตัวและแตกหน่อธุรกิจออกมาอีก 2 ด้าน นั่นคือศูนย์จัดเก็บข้อมูล หรือ Data Center ณ พื้นที่ใจกลางกรุงเทพฯ ขนาดพื้นที่ประมาณ 10 – 15 ไร่ (ร่วมลงทุนกับบริษัทเอสทีที จีดีซี) ที่ไทคอนระบุว่า ในอนาคตข้างหน้าจะเป็นที่ต้องการของภาคธุรกิจ โดยเฉพาะบริษัทต่างชาติมากขึ้น เนื่องจากความนิยมในคลาวด์ กับการเป็นผู้ให้บริการด้าน Smart Solutions โดยร่วมลงทุนกับ “จัสท์โค” (JustCo) ผู้ให้บริการ Co-Working Space จากสิงคโปร์ที่คาดว่าจะเข้ามา Disrupt ธุรกิจเช่าสำนักงานแบบเดิม ๆ

โดยการร่วมลงทุนกับจัสท์โคในครั้งนี้ จะทำให้ไทคอนสามารถเพิ่มสิทธิประโยชน์ให้กับลูกค้าของบริษัท ในการเข้ามาใช้พื้นที่ของจัสท์โค เพื่อพบปะลูกค้า ณ ใจกลางกรุงเทพฯ ได้โดยสะดวก และยังลดค่าใช้จ่ายในการเช่าออฟฟิศสำนักงานให้ลูกค้าได้ด้วย แต่ที่มากไปกว่านั้นก็คือจัสท์โคมีแพลตฟอร์มด้าน Data Analytics ที่สามารถเก็บรวบรวมข้อมูลของลูกค้าและนำมาวิเคราะห์เพื่อให้ธุรกิจรู้จักและเข้าใจลูกค้าได้มากขึ้นพ่วงมาด้วย ซึ่งเท่ากับว่าไทคอนสามารถใช้แพลตฟอร์มตัวนี้ทำความรู้จักกับลูกค้าของตนเองได้ลึกมากยิ่งขึ้นนั่นเอง

โดยปัจจุบัน พื้นที่ Co-Working Space ของจัสท์โคเปิดให้บริการแล้วสองแห่ง ได้แก่ที่ตึกเอไอเอ สาธรทาวเวอร์ บนพื้นที่ 40,000 ตารางเมตร และกำลังจะเปิดแห่งที่สอง ณ ตึกแคปิตอล ทาวเวอร์ ออลซีซั่นเพลส กับพื้นที่ขนาด 40,000 ตารางเมตรเช่นกัน

ทั้งนี้ ภายใน 2 ปีข้างหน้า จัสท์โคมีแผนจะเปิดพื้นที่ Co-Working Space เพิ่มเป็น 8 – 9 แห่ง และคาดว่าจะมีพื้นที่ให้บริการรวมทั้งสิ้น 300,000 ตารางเมตรเลยทีเดียว

ในจุดนี้ นายคง วัน ซิง ผู้ก่อตั้งและผู้อำนวยการจัสท์โคกล่าวว่า ประเทศไทยถือเป็นตลาดที่สำคัญในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเป็นตลาดที่เหมาะแก่การลงทุน โดยเขาและไทคอนเห็นตรงกันว่า ธุรกิจ Co-Working Space จะเป็นธุรกิจที่เข้ามา Disrupt ธุรกิจตลาดสำนักงานเดิมลงได้ เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายที่ถูกกว่า และบริษัทไม่จำเป็นต้องดูแลหรือบำรุงรักษาพื้นที่แต่อย่างใด เพียงจ่ายเงินค่าเมมเบอร์ชิปก็สามารถเข้าใช้บริการได้ทันที

นอกจากนี้ เขายังกล่าวว่าตลาด Co-Working Space ในไทยยังมีศักยภาพในการเติบโตอีกมาก โดยปัจจุบันมีพื้นที่ของ Co-Working Space เปิดให้บริการเพียง 1% ของพื้นที่เชิงพาณิชย์ทั้งหมด ขณะที่สิงคโปร์ ตัวเลขนี้เพิ่มขึ้นเป็น 8 – 9% แล้ว

ด้านไทคอนนั้น ปัจจุบันมีพื้นที่โรงงานและคลังสินค้ารวมทั้งสิ้นกว่า 2.7 ล้านตารางเมตร บนพื้นที่ต่าง ๆ กว่า 50 แห่งทั่วประเทศ ทั้งแบบพร้อมใช้ หรือแบบสร้างตามความต้องการของลูกค้า ซึ่งการปรับตัวสู่ยุคอุตสาหกรรม 4.0 ทำให้บริษัมมีแผนจะนำเทคโนโลยีไฮเทคจำนวนมากเข้ามาปรับใช้ไม่ว่าจะเป็นเซนเซอร์ IoT ต่าง ๆ หรือโรบ็อต รวมถึงการใช้แพลตฟอร์มวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อทำความเข้าใจความต้องการของลูกค้าให้มากขึ้นด้วย ส่วนผู้ให้บริการ Co-Working Space เจ้าอื่น ๆ เตรียมปาดเหงื่อกันได้เลย

Avatar photo