นายอมร ทรัพย์ทวีกุล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA เปิดเผยว่า หลังจากที่บริษัทได้เข้าถือหุ้นบริษัท Amita Technologies Inc. ผู้นำธุรกิจแบตเตอรี่ไต้หวันในสัดส่วน 69.9% เมื่อกลางเดือนเมษายนที่ผ่านมา บริษัทก็ได้เริ่มจัดโครงสร้างกลุ่ม EA เพื่อให้ Amita รับบทบาทหลักในการขึ้นโรงงานแบตเตอรี่เฟสแรก ขนาดกำลังการผลิต 1 GWh ซึ่งได้เริ่มงานไปบ้างแล้ว
โดยโรงงานแบตเตอรี่ของกลุ่ม EA จะอยู่ในเขตอุตสาหกรรม New S-Curve บริเวณพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งงานเฟสแรกนี้ จะลงทุนโครงสร้างพื้นฐานทั้งหมด เพื่อรองรับโรงงานแบตเตอรี่ตามแผนโครงการใหญ่ เฟสนี้มีมูลค่าการลงทุนรวมประมาณ 4,000 ล้านบาท และใช้เงินจากภายในของบริษัทเองร่วมกับเงินกู้เล็กน้อย
นอกจากเป้าหมายในการผลักดันโรงงานแบตเตอรี่เฟสแรกให้แล้วเสร็จ และจะเริ่มรับรู้รายได้ในปี 2562 แผนดำเนินงานในครั้งนี้ยังจะส่งผลให้ Amita เข้าสู่โหมด Take Off ทันที ในฐานะผู้รับบทบาทหลักในธุรกิจแบตเตอรี่เฟสนี้ ส่วนที่มีความกังวลเกี่ยวกับผลประกอบการ Amita ว่าจะยังไม่กำไร และอาจกระทบกับงบการเงินของ EA นั้นไม่กังวล เพราะได้ประเมินไว้แล้วว่าในช่วงแรกที่ EA เพิ่งเริ่มเข้าไปลงทุน Amita ก็จะยังมีผลประกอบการไม่ต่างจากเดิม หรือหากมีผลขาดทุนก็จะประมาณเดือนละ 8-9 ล้านบาท การเข้าไปถือหุ้นเพราะต้องการ Know How จาก Amita และมั่นใจว่าหลังจากโรงงานแบตฯเฟสแรกสร้างเสร็จ Amita จะเริ่ม Take Off ทันที
สำหรับความกังวลว่า การเปลี่ยนแปลงราคาหุ้นของ Amita จะส่งผลต่องบการเงินของ EA ก็ไม่เป็นความจริง เพราะ Amita เป็นเงินลงทุนระยะยาว จึงรับรู้ตามผลประกอบการ ไม่ใช่ตามราคาหุ้น ซึ่งเมื่อต้นปี EA เข้าไปทำ Tender Offer ราคาหุ้นจึงปรับสูงขึ้นตามราคายุติธรรมที่ EA รับซื้อ และเมื่อสิ้นสุดการทำ tender ราคาหุ้นก็กลับมาสู่ราคาเดิมก่อนหน้าตามกรณีทั่วๆ ไป
ส่วนแผนการดำเนินโครงการกรีนดีเซล และ PCM ความคืบหน้าไปด้วยดี โดย EA ได้ติดตั้งเครื่องจักรชุดแรกเสร็จเรียบร้อยแล้ว และได้เริ่มทดลองเดินเครื่องจักรผลิตสินค้าแล้ว ได้ผลลัพธ์เป็นที่น่าพอใจหลังจากที่ EA ได้ศึกษาวิจัยมาเกือบ 4 ปี ส่วนความร่วมมือทางธุรกิจกับบริษัท โกลบอลกรีนเคมิคอล จำกัด (หรือ GGC) ยังคงอยู่ในช่วงของการเจรจาหารือในรายละเอียด ระหว่างนี้ EA ก็ยังคงเดินหน้าลงทุนตามแผนที่วางไว้ต่อไป
