“ยูเอ็มจี ไอเดียแล็บ” หน่วยงานด้านการลงทุนเงินทุน ในเครือ “ยูเอ็มจี กรุ๊ป” กลุ่มธุรกิจการค้ารายใหญ่ของเมียนมา ประกาศหาโอกาสร่วมลงทุนกับบริษัทด้านการลงทุนอินโดนีเซีย ในช่วงเวลาที่บริษัทเริ่มมองหาการลงทุน ที่นอกเหนือไปจากการลงทุนขั้นต้นในกลุ่มบริษัทตั้งใหม่ (pre-seed stage) ที่เป็นความเชี่ยวชาญของบริษัท
เจฟรี ปราตะมะ บอกว่า บริษัทอยู่ระหว่างการพูดคุยกับกลุ่มบริษัทลงทุนด้านเงินทุนด้วยกัน ถึงความเป็นไปได้ที่จะร่วมมือกันทางการเงิน นอกเหนือจากการเพิ่มศักยภาพ
นับแต่ที่เริ่มต้นการลงทุนในปี 2558 ยูเอ็มจี ไอเดียแล็บ เข้าลงทุนในบริษัทต่างๆ มาแล้วมากกว่า 50 แห่ง ส่วนใหญ่เป็นลงทุนในบริษัทที่เพิ่งเริ่มดำเนินธุรกิจ และให้การสนับสนุนบริษัทตั้งใหม่ ที่มีการลงทุนในเทคโนโลยีที่มีอนาคต
แม้จะเข้าลงทุนในหลายประเทศ รวมถึง เมียนมา ไทย และจีน แต่การลงทุนส่วนใหญ่ของบริษัทอยู่ในอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นประเทศบ้านเกิดของนายกีวี อาลีวาร์กา ผู้ก่อตั้ง และซีอีโอยูเอ็มจี กรุ๊ป
หลังจากที่ปลุกปั้น ยูเอ็มจี จนกลายเป็น 1 ในบริษัทขนาดใหญ่สุดในเมียนมา ทั้งยังเป็นผู้ผลิต และจำหน่ายอุปกรณ์รถแทรคเตอร์เพื่อการเกษตรรายใหญ่สุดของเมียนมา ด้วยจำนวนพนักงานมากกว่า 5,000 คนแล้ว อาลีวาร์กา อดีตพนักงานของแอสตรา อินเตอร์เนชันแนล ก็ตัดสินใจเลือกอินโดนีเซีย ให้เป็นที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของหน่วยงานด้านเทคโนโลยีในเครือยูเอ็มจี ที่ไม่เพียงแต่จะลงทุนด้านเงินทุนเท่านั้น แต่ยังดำเนินงานในฐานะผู้สร้างการลงทุนด้วย
จนถึงขณะนี้ การลงทุนของบริษัท ที่มากถึงครึ่งหนึ่งมาจากยูเอ็มจี ไอเดียแล็บนั้น เกิดขึ้นในอินโดนีเซีย ด้วยมูลค่าระหว่าง 50,000 – 1 ล้านดอลลาร์ ต่อการลงทุนในแต่ละครั้ง
ปราตะมะบอกว่า ที่ผ่านมา ยูเอ็มจี ไอเดียแล็บ ดำเนินงานในฐานะนักลงทุนรายเดี่ยว แต่ในขณะนี้บีริษัทกำลังมองหาพันธมิตรบริษัทลงทุนเงินทุนท้องถิ่น ที่จะมาร่วมแบ่งปันเป้าหมายเดียวกัน
“เราต้องการลงทุนร่วมกับบรรดานักลงทุน ที่มีวิสัยทัศน์เหมือนกับเรา ต้องการสนับสนุนผู้ก่อตั้งบริษัทคนรุ่นใหม่ ที่นำเสนอโซลูชัน และพัฒนานวัตกรรมในอินโดนีเซีย”
แม้จะเข้าลงทุนในหลายภาคธุรกิจ แต่ปราตะมะบอกว่า บริษัทให้ความสนใจเป็นพิเศษกับการพัฒนาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ) ในอินโดนีเซีย
ปัจจุบัน ยูเอ็มจี ไอเดียแล็บ ลงทุนในบริษัทเอไอ 3 รายด้วยกัน คือ โบติกา บริษัทพัฒนาแชทบ็อท บาฮาซาคีตา ผู้พัฒนาโปรเซสเซอร์พูดได้ และวิดยา ดอท เอไอ ซึ่งเป็นการลงทุนใหม่ล่าสุดของบริษัท
ปราตะมะ เปิดเผยด้วยว่า บริษัทของเขาตัดสินใจที่จะลงลึกไปในด้านเอไอ ด้วยการร่วมมือกับมหาวิทยาลัยอินโดนีเซีย และยูบี เทค ผู้ผลิตหุ่นยนต์ที่เทนเซ็นต์ให้การสนับสนุน จัดทำโครงการที่ช่วยให้ความรู้ด้านเอไอกับเด็กๆ ตั้งแต่ในระดับอนุบาลกันเลยทีเดียว
“ยังมีเทคโนโลยีเอไออีกมากมาย ที่ยังไม่ได้ไปถึงขึ้นการผลิตในเชิงพาณิชย์ เทคโนโลยีอย่าง การจดจำเสียง จดจำภาพ และใบหน้า เพิ่งอยู่ในขั้นตอน ที่เทียบเท่ากับระบบอุดมศึกษาเท่านั้น ซึ่งการมีศูนย์วิจัย จะทำให้บริษัทสามารถเชื่อมต่อกับสตาร์ทอัพที่เข้าไปลงทุน และเป็นกลุ่มที่จะเข้าใจเกี่ยวกับเทคโนโลยีเอไอ และการผลิตเชิงพาณิชย์ได้ดีกว่า ”
ที่มา : Nikkei Asian Review