Properties

ทุนจีน ‘ไฮไชน์’ ซุ่มผุดพรึ่บคอนโด 4 โครงการรวดกว่า 22,500 ล้านบาท

เริ่มเข้ามาลุยตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยเงียบๆ เมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา สำหรับ ไฮไชน์ ยักษ์บริษัทอสังหาริมทรัพย์จากจีนที่เคี่ยวกรำในธุรกิจพัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มากว่า 20 ปี  โดยมีบริษัทแม่อยู่ที่ฮ่องกง และมีรายได้จากการขายอสังหาฯทั้งในจีนและในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รวมกว่า 3 แสนล้านบาท ซึ่งล่าสุด ประกาศลุยคอนโดมิเนียม 4 โครงการรวดในประเทศไทย รวมมูลค่าลงทุน 22,500 ล้านบาท

79300
เฉิน ซู่เฟิง

ก้าวย่างของ ไฮไชน์ในประเทศไทย ได้จัดตั้งบริษัท ไฮไชน์ ดีเวลลอปเม้นท์ กรุ๊ป จำกัด ขึ้นด้วยทุนจดทะเบียนสูงถึง 3,000 ล้านบาท เป็นการร่วมทุนระหว่าง ไฮไชน์ กรุ๊ป ถือหุ้น 49% กับนายยงศักดิ์ โรจนรังรอง ประธานสมาคมการค้าตัวแทนขายอสังหาริมทรัพย์ไทย-จีน ถือหุ้น 51% โดยไทยเป็นประเทศที่ 2 ที่ไฮไชน์ขยายการลงทุนนอกประเทศจีน ต่อจาก ฮ่องกง รวมทั้งมีแผนขยายการลงทุนในมาเลเซีย เวียดนาม และเมียนมาร์อีกด้วย

นายเฉิน ซู่เฟิง ประธานกรรมการประจำภูมิภาค บริษัท ไฮไชน์ ดีเวลลอปเม้นท์ กรุ๊ป จำกัด เปิดเผยว่า เป้าหมายของกลุ่มบริษัท ไฮไชน์ จะเน้นการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในย่านธุรกิจแนวรถไฟฟ้า (BTS) หรือ รถไฟใต้ดิน ( MRT) สำหรับในประเทศไทยได้เข้ามาเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา โดยปีแรกเป็นการศึกษาตลาดและทำเล จากนั้นปีนี้ซึ่งเป็นปีที่ 2 จึงเริ่มลงทุนพัฒนาโครงการ เริ่มจากคอนโดมิเนียม 4 โครงการ ประกอบด้วย โครงการรีเกิล สาทร-นราธิวาส, รีเกิล บางนา, รีเกิล ศรีนครินทร์ 40 และ รีเกิล สุขุมวิท 76 พื้นที่รวมทั้งสิ้น 126 ไร่ และพื้นที่ใช้สอยในอาคารกว่า 404,000 ตารางเมตร รวมมูลค่าลงุทนกว่า 22,500 ล้านบาท

S 81494032

นอกจากนี้ บริษัทยังเตรียมพื้นที่กว่า 100 ไร่ ใกล้สนามบินสุวรรณภูมิ เพื่อพัฒนาโครงการบ้านจัดสรร ซึ่งคาดว่าจะเริ่มก่อสร้างได้ในปี 2563 ซึ่งจะเป็นโครงการมิกซ์ยูส ที่มีทั้งโครงการที่พักอาศัย และพื้นที่การค้า เพื่อรองรับการเติบโตของกรุงเทพฯ ฝั่งตะวันออก โดยเฉพาะการขยายตัวของเมืองจากโครงการอีอีซี

การตัดสินใจเข้ามาลงทุนในประเทศไทยของกลุ่มไฮไชน์ ครั้งนี้ เนื่องจากมองว่า เป็นประเทศที่มีจำนวนประชากรกว่า 70 ล้านคน เป็นตลาดใหญ่ที่มีกำลังซื้อที่อยู่อาศัย และเศรษฐกิจไทยเริ่มกลับมาสู่ช่วงขาขึ้น รวมไปถึงการคุมเข้มการปล่อยสินเชื่อของธนาคารแห่งประเทศไทย จะทำให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ลดโอกาสเกิดโอเวอร์ซัพพลายและตลาดจะปรับเข้าสู่จุดสมดุลย์ จึงเชื่อว่าตลาดอสังหาฯในไทยจะเติบโตได้ดีในช่วง 2 ปีจากนี้

S 81494038

ในส่วนของ 4 โครงการดังกล่าว ได้เปิดขายพรีเซลโครงการ รีเกิล สาทร-นราธิวาส และ รีเกิล บางนาไปแล้ว และพบว่ามียอดขายที่ 40% และ 20% ตามลำดับ และล่าสุดได้เปิดโครงการ รีเกิล สุขุมวิท 76  ราคาเริ่มต้น 1.79 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 16,000 ล้านบาท บนพื้นที่ 18 ไร่ โดยเป็นโครงการมิกซ์ยูส มีอาคารที่พักอาศัย 8 อาคาร จำนวน 4,931 ยูนิต และพื้นที่ศูนย์การค้า 15,000 ตร.ม พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวก อาทิ สระว่ายน้ำขนาดใหญ่, สระว่ายน้ำลอยฟ้า 2 สระ, สระจากุชชี่, สวนสาธารณะขนาดใหญ่, สวนลอยฟ้าเพิ่มปอดให้คนกรุงเทพฯ ห้องสมุดสำหรับใช้เป็น โค-เวิร์กกิ้ง สเปซ, ฟิตเนส, ห้องโยคะ, สนามเทสนิส, และยิมหน้าผาจำลอง เป็นต้น

นายซู่เฟิงกล่าวว่า โครงการรีเกิล สุขุมวิท 76 และโครงการอื่นๆ ของบริษัท จะมุ่งจับกลุ่มเป้าหมายคนไทย และคนจีนที่ต้องการซื้อเพื่อลงทุนปล่อยเช่า รวมถึงคนจีนที่เกษียณอายุและต้องการมาอยู่อาศัยในประเทศไทย

79303

นอกจากนี้ในเดือนพฤศจิกายน บริษัทฯ มีแผนที่จะเปิดตัวโครงการรีเกิล ศรีนครินทร์ 40 คอนโดอาคาร 8 ชั้น มูลค่าโครงการ 1,200 ล้านบาท ตั้งอยู่ในซอยศรีนครินทร์ 40 และใกล้กับรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ที่รายล้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ มากมาย ทั้งห้างสรรพสินค้าและซุปเปอร์มาร์เก็ตเพียงแค่ 400 เมตรจากซีคอนสแควร์ และ 700 เมตรจากห้างสรรพสินค้าพาราไดซ์ พาร์ค บริษัทฯ เชื่อว่าโครงการรีเกิล ศรีนครินทร์ 40 จะเป็นโครงการที่ประสบความสำเร็จอีกโครงการหนึ่ง ที่ตอบสนองความต้องการให้กับผู้ที่ต้องการอาศัยในพื้นที่ศรีนครินทร์

“เชื่อว่าจะไม่เกิดฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์ในตลาดประเทศไทย เนื่องจากความต้องการที่แท้จริงไม่ใช่ความต้องการเก็งกำไรสำหรับที่อยู่อาศัยแนวราบต่ำกว่า 3 ล้านบาท (US $ 97,150) ซึ่งคิดเป็น 70% ของตลาดตามที่สมาคมธุรกิจที่อยู่อาศัย (HBA) ซึ่งยังคงเป็นโอกาสที่ยิ่งใหญ่ในการเข้าสู่ตลาดนี้”นายซู่เฟิงกล่าว

S 81494039

สำหรับการลงทุนทั้ง 4 โครงการดังกล่าว บริษัทวางเป้าหมายรายได้ในปี 2562 ไว้ที่ 3,000 ล้านบาท และคาดว่าในปี 2563 จะเพิ่มเป็น 4,500 ล้านบาท รวมทั้งมองหาการขยายการลงทุนโครงการใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะเน้นการลงทุนตามแนวรถไฟฟ้าและรถไฟใต้ดินเป็นหลัก

พร้อมกันนี้ ยังเดินหน้ามองหาโอกาสลงทุนอสังหาริมทรัพย์ในประเทศอื่นๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างต่อเนื่อง โดยในมาเลเซีย เตรียมก่อสร้างโครงการเมกะโปรเจคมิกซ์ยูสขนาดใหญ่ มูลค่าลงทุนถึง 1 แสนล้านบาทที่กัวลาลัมเปอร์ คาด 8 ปีแล้วเสร็จ ขณะที่ในเวียดนามอยู่ระหว่างการหาผู้ร่วมทุน

Avatar photo