Politics

เลขาฯศาล ย้ำผู้พิพากษาเป็นอิสระแทรกแซงไม่ได้

นายสราวุธ เบญจกุล เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม (ก.ต.) กล่าวถึงความคืบหน้ากรณีมีผู้พิพากษาใช้อาวุธปืนยิงตัวเอง ที่ศาลจังหวัดยะลา ว่า ขณะนี้ตนได้รับรายงานเกี่ยวกับข้อเท็จจริงเหตุการณ์ผู้พิพากษายิงตัวเองในห้องพิจารณาที่ศาลจังหวัดยะลา จากนายเพิ่มศักดิ์ สายสีทอง อธิบดีผู้พิพากษาศาลภาค 9 และนายอนิรุธ ใจเที่ยง ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดยะลา เพื่อนำไปเสนอข้อเท็จจริงต่อคณะกรรมการ ก.ต. ในวันที่ 7 ตุลาคมนี้ และได้รายงานไปยังนายไสลเกษ วัฒนพันธุ์ ประธานศาลฎีกา ตามลำดับแล้ว

สราวุธ เบญจกุล2

สำหรับขั้นตอนหลังจากนี้ เมื่อรายงานที่ประชุม ก.ต.ไปแล้ว ก็ดูว่า ก.ต.จะพิจารณาอย่างไร ขณะนี้ตนได้เตรียมรายละเอียด เช่น คำแถลงการณ์ของผู้พิพากษาคนดังกล่าวเพื่ออธิบายแก่ ก.ต. แล้ว และต้องรับข้อมูลจากอธิบดีผู้พิพากษาศาลภาค 9 เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ครบถ้วนถูกต้องอีกด้วย

ผู้สื่อข่าวถามถึงเรื่องที่มีการระบุว่ามีการแทรกแซงคดี นายสราวุธ กล่าวว่า คำพิพากษาถือเป็นความลับ ไม่สามารถเปิดเผยก่อนการอ่านคำพิพากษาได้ ไม่เช่นนั้นจะรู้ผลล่วงหน้า และเป็นวิธีปฏิบัติของศาลที่จะปรึกษาหารือกันได้ ซึ่งในกระบวนการทำงานคดีที่มีโทษสูง คดีสำคัญ กฏหมายพระธรรมนูญ มาตรา 11 (1) ให้อำนาจอธิบดีนั่งพิจารณาและพิพากษาคดีใดๆ ของศาลนั้น หรือเมื่อได้ตรวจสำนวนคดีใดแล้วมีอำนาจทำความเห็นแย้งได้ และสามารถให้คำแนะนำแก่ผู้พิพากษาในศาลนั้น ในข้อขัดข้องเนื่องในการปฏิบัติหน้าของผู้พิพากษา และในมาตรา 14 ระบุไว้ด้วยว่าให้อธิบดีผู้พิพากษาภาคเป็นผู้พิพากษาในศาลที่อยู่ในเขตอำนาจด้วยผู้หนึ่ง โดยให้มีอำนาจและหน้าที่ตามที่กำหนดไว้ในมาตรา 11 วรรคหนึ่ง รวมทั้งได้ให้อำนาจรองอธิบดีผู้พิพากษาภาคไว้ด้วย เพราะปริมาณคดีมีมาก

ดังนั้นอธิบดีจึงมีสิทธิที่จะตรวจสำนวนคำพิพากษา แม้ไม่ได้ขึ้นไปนั่งพิจารณาคดีก็มีข้อแนะนำได้ หากการเขียนคำพิพากษามีจุดบกพร่อง ก็แนะนำให้แก้ไขได้ ซึ่งกฏหมายให้อำนาจไว้เพื่อคุ้มครองประโยชน์ของประชาชน แต่อธิบดีไม่สามารถไปก้าวก่ายการตัดสินของผู้พิพากษาได้ ไม่สามารถแทรกแซงการทำงานได้ เพราะหากผู้พิพากษาไม่เห็นตามนั้น ก็สามารถยืนยันความเห็นของตนเองได้

“ซึ่งมีตัวอย่างในคดีที่อดีตอธิบดีกรมสรรพากร ถูกฟ้องคดี 157 ท่านชีพ จุลมนต์ อดีตประธานศาลฏีกา ซึ่งเป็นอธิบดีศาลอาญาในขณะนั้น เคยมีความเห็นแตกต่างจากองค์คณะว่าควรลงโทษ แต่องค์คณะเห็นว่าควรยกฟ้อง อธิบดีจึงมีความเห็นว่าให้เอาไปทบทวน ทางองค์คณะยืนยันเหมือนเดิมว่ายกฟ้อง ท่านชีพ อธิบดีศาลอาญาขณะนั้นจึงทำความเห็นแย้งไป

สำหรับในภาค 9 มีคดีความมั่นคงจำนวนมาก การที่อธิบดีมีอำนาจตรวจสำนวนและทำความเห็นแย้งได้ จึงถือเป็นเรื่องปกติในกระบวนการทำงาน เปรียบเสมือนการตรวจให้มีความรอบคอบได้มาตรฐาน ถ้าผู้พิพากษาที่พิจารณาสำนวนยังยืนยันคำพิพากษา ก็ต้องเป็นไปตามที่เขียนไว้อยู่แล้ว ผมขอบอกไว้เลยในศาลใครจะมาสั่งผู้พิพากษาที่เป็นองค์คณะในการตัดสินคดี มันสั่งไม่ได้ นี่ไม่ใช่เรื่องอำนาจบังคับบัญชาตามลำดับชั้น ดุลยพินิจของเจ้าของสำนวนจะมีความเป็นอิสระ เรื่องนี้เป็นมานานแล้ว และไม่ใช่เฉพาะเรื่องภายในเท่านั้น ในทางภายนอกไม่ว่าจะเป็นฝ่าย ตำรวจ ทหาร หรือฝ่ายบริหารยิ่งสั่งเราไม่ได้“ นายสราวุธ กล่าว

เมื่อถามว่าเหตุผู้พิพากษายิงตัวเองในห้องพิจารณาโดยอ้างว่ามีเหตุจากการทำคำพิพากษา จะกระทบต่อผู้พิพากษาอื่นหรือไม่ นายสราวุธ กล่าวว่า ผู้พิพากษาทั่วประเทศมีขวัญกำลังใจดี ไม่มีปัญหาอะไร เรื่องอำนาจของอธิบดีผู้พิพากษามีกำหนดชัดเจนในกฎหมายพระธรรมนูญศาลยุติธรรม ตนก็เป็นผู้บรรยายกฎหมายวิชาพระธรรมนูญศาลในเนติบัณฑิตยสภา ส่วนจะมีการแก้ไขกฎหมายพระธรรมนูญศาลหรือไม่ ให้รอฟังผลการประชุม ก.ต. ก่อน ตนขอย้ำว่าผู้พิพากษามีความเป็นอิสระปราศจากการแทรกแซงแน่นอน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กฎหมายพระธรรมนูญศาลยุติธรรม คือกฎหมายกำหนดระเบียบแบบในการทำงานของผู้พิพากษา เกี่ยวกับเขตอำนาจศาล การนั่งพิจารณาขององค์คณะ ขอบเขตอำนาจของตัวผู้พิพากษาคนเดียวหรือร่วมกันเป็นองค์คณะ การจ่ายสำนวน การเรียกคืนสำนวน เป็นต้น ที่น่าสนใจเกี่ยวกับคดีนี้ น่าจะอยู่ที่ “อำนาจของอธิบดีผู้พิพากษาภาค” ในมาตรา 13 ที่ให้อธิบดีผู้พิพากษาภาคมีอำนาจตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 11 ที่เป็นอำนาจของอธิบดีศาลชั้นต้น และผู้พิพากษาหัวหน้าศาลด้วย เช่น มาตรา 11 (1) มีอำนาจในการทำความเห็นแย้งคำพิพากษาของเจ้าของสำนวน และ (4) อธิบดีผู้พิพากษาภาคมีอำนาจในการให้คำแนะนำผู้พิพากษาในข้อขัดข้องเนื่องในการปฏิบัติหน้าที่ของผู้พิพากษา

ขอบคุณภาพ-ข้อมูล : thaipost

Avatar photo
ทีมบรรณาธิการข่าว The Bangkok Insight