ใกล้ถึงเวลาเข้าเทรดเต็มทีแล้ว สำหรับหุ้นน้องใหม่ที่ใหญ่ที่สุดของปีนี้อย่าง “บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน)” หรือ AWC หลังเปิดจองซื้อไปแล้วเมื่อวันที่ 25 – 27 กันยายน 2562 จำนวนไม่เกิน 8,000 ล้านหุ้นที่ราคา 6 บาทต่อหุ้น
สำหรับ AWC ประกอบธุรกิจในรูปแบบ Holding Company ถือหุ้นในบริษัทอื่นที่ประกอบธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำ แบบครบวงจร ภายใต้เครือ TCC Group หรือพูดง่ายๆ AWC เป็นเรือธงอสังหาฯ ของ “เจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนภักดี” นั่นเอง
เมื่อหุ้นยักษ์ใหญ่ขนาดนี้เข้าตลาดทั้งที แน่นอนว่าอาจส่งผลกระทบต่อภาพรวมตลาดหุ้นไทย ให้เปลี่ยนแปลงอย่างคาดไม่ถึง ซึ่งจะมีประเด็นอะไรบ้างที่ต้องจับตามองนั้น เรารวบรวมมาให้แล้ว
1. ทุบสถิติหุ้น IPO มูลค่าสูงสุด
AWC เสนอขาย IPO ไม่เกิน 8,000 ล้านหุ้น แบ่งเป็น หุ้นสามัญเพิ่มทุน 6,957 ล้านหุ้น และหุ้นจัดสรรส่วนเกิน (กรีนชู ออปชั่น) 1,043 ล้านหุ้น หากเสนอขายได้ทั้งหมดจะทำให้มูลค่าตามราคาตลาด (Market Cap) อยู่ที่ 1.92 แสนล้านบาท
ซึ่งจะถือว่าเป็นหุ้น IPO ที่มูลค่า ณ วันเสนอขายสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ของตลาดหุ้นไทย ล้มแชมป์เก่าอย่างหุ้น PTT บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ที่ครองตำแหน่งนี้มานานกว่า 18 ปี โดยตอนนั้น PTT มี Market Cap อยู่ที่ 9.7 หมื่นล้านบาท
2. ความเปลี่ยนแปลงใน SET50
ประเมินคร่าวๆ AWC จะมีมูลค่าตลาดตาม (Market Cap.) สูงกว่า 1.92 แสนล้านบาท หรือคิดเป็น 1.6% ของดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (SET) ซึ่งไซส์ขนาดนี้จึงทำให้พวกเขาสามารถติดท็อป 20 หุ้นที่ใหญ่ที่สุดในตลาดได้ไม่ยาก
ดังนั้น การคำนวณดัชนี SET50 รอบใหม่ ต้องมีการเปลี่ยนแปลงแน่นอน ซึ่งต้องมาคอยลุ้นกันว่าหุ้นตัวไหนจะหลุดออกไป….
ทั้งนี้ บล.เอเซีย พลัส สรุปมุมมองเรื่องนี้ไว้ว่ามีโอกาสสูงที่หุ้น KKP จะถูกนำออกจาก SET50 รอบใหม่ เนื่องจากมี Market Cap 5.6 หมื่นล้านบาท น้อยที่สุดในกลุ่มตอนนี้
3. ดัน PE ตลาดหุ้นไทยสูงขึ้นในระยะสั้น
ด้วย Market Cap ระดับแสนล้านของ AWC เมื่อเข้าตลาดมาแล้ว จะทำให้มูลค่าโดยรวมของ SET ใหญ่ขึ้นกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด คาดว่าจะส่งผลให้ SET Index มีการซื้อขายบน PE Ratio เฉลี่ยเพิ่มขึ้นเป็น 16.63 เท่า
อย่างไรก็ดี นี่เป็นระดับ PE Ratio ที่สูงกว่าปกติ เนื่องจากยังไม่มีการรับรู้กำไรจากการเติบโตในอนาคตของ AWC แต่หากตลาดกลับมาซื้อขายบน PE ระดับปกติ อาจกดดันให้ตลาดหุ้นไทยมีโอกาสปรับตัวลดลงได้
4. เม็ดเงินในหุ้นกลุ่มอสังหาฯ
หากเทียบในกลุ่มหุ้นอสังหาริมทรัพย์ AWC จะมีมูลค่าเป็นรองเพียง CPN บริษัท เซ็นทรัล พัฒนา จำกัด (มหาชน) เท่านั้น แถมยังมีสัดส่วนสูงถึง 18% ของกลุ่ม
เพราะฉะนั้น ทำให้ตลาดอาจมีการชะลอหรือโยกเงินทุนในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์มาไว้ใน AWC แทน แน่นอนว่าในช่วงก่อนที่ AWC เข้าเทรด เราคงได้เห็นความผันผวนของหุ้นอสังหาฯ
ปัจจุบัน AWC มีโครงการอสังหาฯ เด่นในมือแบ่งเป็น 3 ประเภท ดังนี้
– ห้างสรรพสินค้า & คอมมูนิตี้มอลล์ : เอเชียทีค, เกทเวย์ แอท บางซื่อ, พันธุ์ทิพย์พลาซ่า และตะวันนา
– โรงแรมภายใต้แบรนด์ : Marriott, Hilton, IHG, Melia, Banyan Tree, Okura
– อาคารสำนักงานใน Prime Location : Empire Tower, Athenee Tower, 208 Wireless Road Building และ Interlink Tower
ถือว่าโปรไฟล์ไม่ธรรมดาเลยสำหรับหุ้นตัวนี้ อีกทั้งในแง่พื้นฐานธุรกิจก็ยังมีความน่าสนใจ ด้วยประสบการณ์ที่ยาวนาน และขนาดสินทรัพย์ที่สามารถเป็นโอกาสขยายการเติบโตได้อีกมากในอนาคต
ก่อนหน้านี้ วัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากการลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์หลากหลายประเภทของกลุ่มทีซีซี กรุ๊ปของกลุ่ม เจริญ สิริวัฒนภักดี ปัจจุบันได้นำธุรกิจในกลุ่มโรงแรม อาคารสำนักงาน และธุรกิจค้าปลีกในเครือ มาจัดกลุ่มธุรกิจใหม่ โดยอยู่ภายใต้การบริหารงานของ แอสเสท เวิรด์ คอร์ป เพื่อโฟกัสธุรกิจสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน รวมทั้งเป็นการจัดพอร์ตธุรกิจให้ชัดเจนเพื่อนำบริษัทเข้าจะจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
ภาพ: เฟซบุ๊ก Asset World Corporation