คาดผู้ค้าเตรียมปรับลดราคาน้ำมันกลุ่มเบนซิน มีผลพรุ่งนี้ ( 1 ต.ค.) หลังค่าการตลาดพุ่งเกิน 2 บาทต่อลิตร เหตุราคาน้ำมันตลาดโลกมีแนวโน้มอ่อนตัวลง พร้อมอุดหนุนดีเซล บี 10 เพิ่มเป็น 1.80 บาทต่อลิตรรองรับนโยบายให้บี 10 เป็นเกรดมาตรฐานปี 63
นายวีระพล จิรประดิษฐกุล ผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ในฐานะเลขานุการ คณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) กล่าวว่าคาดว่าในวันนี้ผู้ค้าน้ำมันจะประกาศปรับลดราคาน้ำมันกลุ่มเบนซิน มีผลพรุ่งนี้ เนื่องจากค่าการตลาดอยู่ในระดับสูง
ณ วันที่ 1 ตุลาคม ค่าการตลาดแก๊สโซฮอล์ อี 95 อยู่ที่ 2.5124 บาท แก๊สโซฮอล์ อี 91 อยู่ที่ 2.6496 บาท แก๊สโซฮอล์ อี 20 อยู่ที่ 2.6133 บาท และแก๊สโซฮอล์ อี 85 อยู่ที่ 4.6824 บาท ส่วนจะลดลงเท่าใดนั้น ตอบไม่ได้ขึ้นอยู่กับผู้ค้า ที่จะใช้ราคาน้ำมันตลาดโลกเฉลี่ย 3 วันกำหนดราคาขึ้นลงของน้ำมันในประเทศ
ทั้งนี้การคาดการณ์ราคาน้ำมันจะปรับลดลง เนื่องจากทางสำนักงานนโยบายพลังงาน (สนพ.) ได้กำหนดค่าการตลาดในระดับที่เหมาะสมอยู่ในช่วง 1.7 บาทต่อลิตรจนถึงไม่เกิน 2 บาทต่อลิตร หรือเฉลี่ยประมาณ 1.80 บาทต่อลิตรทั้งเบนซินและดีเซล
สาเหตุที่ค่าการตลาดสูง เนื่องจากสถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลกมีแนวโน้มอ่อนตัวลง โดยล่าสุดดูไบอยู่ที่ 62.22 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนน้ำมันสำเร็จรูปเบนซิน 95 อยู่ที่ 75.02 ดอลลาร์ ดีเซล 78.5 ดอลลาร์
สำหรับมติที่ประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) ที่มีนายกุลิศ สมบัติศิริ ปลัดกระทรวงพลังงานเป็นประธานวันนี้ (30 ก.ย.) ให้ปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯให้สอดคล้องกับทิศทางการส่งเสริมไบโอดีเซล
โดยดีเซล บี 10 ที่กำหนดให้เป็นน้ำมันเกรดมาตรฐานในปีหน้า กองทุนน้ำมันฯจะเข้าไปอุดหนุนเพิ่มเป็น 1.80 บาท ส่วนดีเซล บี 20 อุดหนุนลดลงเหลือ 2.55 บาทต่อหน่วย ดีเซล บี 7 เก็บเข้ากองทุนฯ 0.05 บาท ทำให้ราคาขายปลีก ณ วันที่ 1 ตุลาคม เป็นดังนี้
ดีเซล บี 10 อยู่ที่ 23.99 บาทต่อลิตร ดีเซลบี 20 อยู่ที่ 22.99 บาทต่อลิตร ดีเซล บี 7 อยู่ที่ 25.99 บาทต่อลิตร
ในส่วนของการใช้ไบโอดีเซล ณ เดือนกรกฎาคม 2562 บี 100 อยู่ที่ 4.8 ล้านลิตรต่อวัน ดีเซล บี 7 อยู่ที่ 54 ล้านลิตรต่อวัน ดีเซล บี 10 ที่ 13,000 ลิตรต่อวัน โดยบี 10 มีแนวโน้มการใช้จะเพิ่มขึ้นแน่นอน เพราะกองทุนน้ำมันฯเข้าไปอุดหนุนเพิ่ม และกระทรวงพลังงานประกาศกำหนดให้เป็นน้ำมันเกรดมาตรฐานมีผลในปีหน้า
สำหรับสภาพคล่องกองทุนน้ำมันฯ หลังจากปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ในส่วนของดีเซลแล้ว จะทำให้กองทุนน้ำมันฯติดลบน้อยลงเหลือ 392 ล้านบาทต่อเดือน จากเดิมติดลบ 813 ล้านบาทต่อเดือน และเมื่อรวมกับก๊าซปิโตรเลียมเหลว (แอลพีจี) ที่ส่งเงินเข้ากองทุนฯ 186 ล้านบาทต่อเดือน ทำให้กองทุนน้ำมันฯ ติดลบสุทธิเท่ากับ 206 ล้านบาทต่อเดือน
นายวีระพล กล่าวต่อว่าในที่ประชุมกบน.ครั้งหน้า จะรายงานผลการศึกษาของสถาบันปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย ที่จะกำหนดช่วงราคาน้ำมันที่ถือว่าวิกฤติราคาน้ำมัน ที่กองทุนน้ำมันฯจะเข้าไปอุดหนุนได้ ซึ่งที่ผ่านมาอ้างอิงหลักตามนโยบายที่วางไว้ 2 กรณี
1.กรณีราคาน้ำมันรอบ 5 วันเปลี่ยนแปลงเกิน 5 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หรือ 1 บาทต่อลิตร
2.กรณีแอลพีจี รอบ 2 สัปดาห์ เปลี่ยนแปลงเกิน 35 ดอลลาร์ต่อตัน หรือ 1 บาต่อกก.
ทั้งนี้หลังจากกบน.ได้มีมติเห็นชอบแล้ว จะนำมากำหนดเป็นแผนของสำนักงานฯ เพื่อวางแนวทางการใช้เงินกองทุนน้ำมันฯต่อไปภายหลัง พ.ร.บ. กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ.2562 ซึ่งเป็นกฏหมายฉบับใหม่มีผลใช้บังคับและเป็นกฎหมายที่จะนำมาใช้บริหารจัดการกองทุนน้ำมันฯแทนกฎหมายเดิม
โดยหลักการของพ.ร.บ.ฉบับนี้ จะให้กองทุนน้ำมันฯเข้าไปอุดหนุนราคาน้ำมันเฉพาะช่วงวิกฤติเท่านั้น เพื่อรักษาเสถียรภาพกองทุนฯ และกำหนดให้ ต้องยกเลิกการอุดหนุนราคาเชื้อเพลิงชีวภาพทั้งแก๊สโซฮอล์ และไบโอดีเซลภายใน 3 ปีนับจากปีนี้ แต่ให้คณะรัฐมนตรี มีอำนาจที่จะขยายระยะเวลา การชดเชยออกไปตามคำแนะนำของคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) แต่ขยายระยะเวลาได้อีกไม่เกิน 2 ครั้ง ครั้งละไม่เกิน 2 ปี
สำหรับสถานะกองทุนน้ำมันฯ ล่าสุด มีเงินสะสมอยู่ที่ 44,327 ล้านบาท อุดหนุนแอลพีจี 5,579 ล้านบาท มีเงินเหลือสุทธิ 38,748 ล้านบาท ในส่วนของแอลพีจีนั้น ราคามีแนวโน้มปรับขึ้นในปลายปี ซึ่งเป็นช่วงสภาพอากาศหนาว หากการอุดหนุนแอลพีจีทำให้กองทุนน้ำมันฯมีภาระเพิ่มจนใกล้แตะ 7,000 ล้านบาทตามกรอบของที่คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.)กำหนดไว้ ก็ต้องนำเสนอที่ประชุมกบน.ต่อไป
นายวีระพล อธิบายถึงการทำหน้าที่ระหว่างกบง.และกบน.ว่า กบง.กำหนดนโยบาย ส่วนกบน.จะทำหน้าที่บริหารกองทุนน้ำมันฯ ขณะที่สนพ.กำหนดโครงสร้างราคาน้ำมัน ทั้ง ราคา ณ โรงกลั่น ราคาขายปลีก ค่าการตลาด ค่าขนส่ง เป็นต้น
