บลูมเบิร์กชี้ “เงินบาท” เป็นค่าเงินที่ประสบความสำเร็จที่สุดในเอเชียในปีนี้ แข็งค่าขึ้นมามากกว่า 6% ขณะที่ค่าเงินของชาติเอเชียรายอื่นๆ อย่างเงินวอน ของเกาหลีใค้ และเงินหยวน ของจีน ต่างได้รับผลกระทบอย่างมากจากสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐ
รายงานของสำนักข่าวต่างประเทศรายนี้ ระบุว่า เงินบาทของไทยได้แสดงให้เห็นแล้วว่า เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับการป้องกันความเสี่ยงจากการค้าระดับโลก โดยได้แรงหนุนจากการได้เปรียบดุลบัญชีเดินสะพัด และทุนสำรองเงินตราต่างประเทศที่มากเป็นประวัติการณ์ของไทย
ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างจีน กับสหรัฐ ที่เพิ่มขึ้นใน 3 ครั้งล่าสุด ไม่ได้ทำให้เงินบาทสะเทือน และยังแสดงให้เห็นถึงการตอบสนองที่น้อยสุดเป็นอันดับ 2 ใน 8 สกุลเงินเอเชีย ต่อการอ่อนค่าของเงินหยวน ที่สร้างความตกตะลึงไปทั่วโลก
รายงานบอกด้วยว่า ถ้าหากสถานการณ์ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างจีน กับสหรัฐ ที่ล่าสุดมีความคืบหน้าไปในทิศทางที่ดีขึ้น จากการกำหนดเจรจารอบใหม่ต้นเดือนตุลาคมนี้ เกิดถอยหลังลงไปอีก ก็จะทำให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นไปอีก
สาเหตุที่ 2 ที่ทำให้มีความเป็นไปได้ว่าเงินบาทจะแข็งค่าขึ้น มาจากปัจจัยในประเทศ จากการที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ดำเนินการทบทวนนโยบายในช่วงกลางเดือนกันยายน หรือ 1 เดือนหลังจากที่ตัดสินใจลดดอกเบี้ยเป็นครั้งแรกในรอบ 4 ปี ซึ่งการลดดอกเบี้ย 0.25% เมื่อวันที่ 7 สิงหาคมที่ผ่านมา แม้จะสร้างความประหลาดใจให้กับบรรดานักเศรษฐศาสตร์ แต่ก็ได้ช่วยหนุนให้เงินบาทแข็งค่าขึ้น
แม้ว่าธปท.จะบอกว่า รู้สึกกังวลกับการที่เงินบาทแข็งค่าขึ้น แต่ความวิตกเหล่านี้ก็อาจจะบรรเทาลง หลังจากที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ตัดสินใจดำเนินนโยบายสายเหยี่ยวมากกว่าที่คาดการณ์กันไว้ ซึ่งช่วยหนุนให้เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น ขณะเดียวกัน หนี้ครัวเรือนในประเทศที่สูงขึ้น ก็อาจทำให้เจ้าหน้าที่กำหนดนโยบายมีเหตุผลเพิ่มขึ้นที่จะไม่ลดดอกเบี้ยลงไปอีก
ช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ไทยได้ดำเนินมาตรการหลายขั้นตอนในความพยายามที่จะสกัดขาขึ้นของเงินบาท รวมถึง การลดจำนวนการออกพันธบัตรระยะสั้น เพื่อไม่ให้เงินทุนไหลเข้ามา และลดเพดานจำกัดสำหรับบัญชีธนาคารสกุลเงินบาทของชาวต่างชาติ
แต่จนถึงขณะนี้ มาตรการต่างๆ ข้างต้น ยังส่งผลออกมาให้เห็นไม่มากนัก และยังไม่มีสัญญาณว่าจะประสบความสำเร็จในอนาคตอันใกล้นี้
