“เอสซีจี” งัดกลยุทธ์ใหม่ “CPAC Construction Solution” สู้ศึกแข่งขัน-ตลาดซบ ดึงเทคโนโลยีดิจิทัลช่วยพัฒนางานก่อสร้างใหญ่-เล็ก จับมือพันธมิตรรายใหญ่กว่า 280 ราย พร้อมสร้างเครือข่ายผู้รับเหมาท้องถิ่น 20,000 รายในปี 63 ตั้งเป้าปีหน้ามีครบ 20 แห่ง
นายชนะ ภูมี Vice President – Cement and Construction Solution Business ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง เอสซีจี กล่าวว่า ตลาดอุตสาหกรรมก่อสร้างในประเทศที่มีมูลค่ากว่า 1.4 ล้านล้านบาทต่อปี มีมูลค่าต้องสูญเสียไปถึง 20% หรือกว่า 3 แสนล้านบาทจากวัสดุเหลือทิ้งต่างๆ รวมถึงเวลาที่ใช้ในการก่อสร้างที่นานเกินจำเป็น เพราะการเห็นภาพไม่ตรงกันระหว่างเจ้าโครงการ และผู้รับเหมา บางครั้งต้องมีการรื้อหรือทุบทิ้ง
ธุรกิจซีแพค (CPAC) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจซีเมนต์ และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง เอสซีจี จึงได้วางกลยุทธ์ใหม่ เป็นผู้เชื่อมประสานระหว่างเจ้าของโครงการก่อสร้าง และผู้รับเหมาให้เห็นภาพตรงกัน
โดยเราทำโซลูชั่นที่มีองค์ประกอบ 3 ส่วน ประกอบด้วย Construction Solution Technology โซลูชั่นที่ช่วยตอบโจทย์ความต้องการและการแก้ปัญหาให้ลูกค้า ,การนำเทคโนโลยีดิจิทัล เช่น BIM มาช่วย และการตั้งศูนย์รวมความเชี่ยวชาญ “CPAC Solution Center” โดยเราจับมือกับพันธมิตรในการพัฒนาร่วมกันกว่า 280 ราย
สำหรับ BIM หรือ Building Information Modeling เป็นซอฟแวร์ที่ถูกมาใช้ในอุตสาหกรรมก่อสร้าง เป็นโมเดล 3 มิติ ที่รวมแบบสถาปัตย์ โครงสร้าง และงานระบบเข้าด้วยกัน นำมาใช้ในการออกแบบก่อสร้างอาคารตั้งแต่เริ่มต้น ทำให้สามารถวางแผนสั่งวัสดุต่างๆได้แม่นยำ และสามารถตรวจสอบตำแหน่ง หรือความผิดพลาดในจุดต่างๆ ผ่านโมเดลได้ ก่อนลงมือสร้างจริง ช่วยลดของเสียจากการเผื่อวัสดุ ประหยัดพื้นที่จัดเก็บ เวลา และต้นทุนการก่อสร้าง
รวมถึงยังสนับสนุนการนำวัสดุเหลือใช้ในงานก่อสร้าง เช่น เศษคอนกรีต หมุนเวียนกลับมาเป็นวัตถุดิบในกระบวนการผลิตอีกครั้ง ทำให้ของเสียกลายมาเป็นประโยชน์ที่เกิดกับทุกฝ่าย
โดยเอสซีจีามีแพลตฟอร์มที่เรียกว่า BIMINONE ให้สถาปนิก วิศวกร หรือช่างเขียนแบบ ดาวน์โหลดไปใช้งานและขณะนี้สินค้าของเอสซีจีได้ถูกนำมาปั้นเป็น 3 มิติสำหรับใช้ในโปรแกรมนี้แล้ว
“โซลูชั่นนี้ เอสซีจีจึงเปรียบเป็นตัวกลางเชื่อมระหว่างเจ้าของโครงการและผู้รับเหมา โดยเรามีศูนย์ที่เรียกว่า “CPAC Solution Center ” ขึ้นเพื่อให้ทั้งสองฝ่ายมาเจอกัน และจะเป็นที่ฝึกอบรมช่างผู้รับเหมาไปในตัวด้วย”
โดย “CPAC Solution Center” เปิดตัวแห่งแรกที่เชียงใหม่เมื่อต้นปีที่ผ่านมา ตั้งเป้าเปิดครบ 9 สาขา ทั้งเชียงใหม่ ขอนแก่น พิษณุโลก ภูเก็ต สุราษฎร์ธานี อุบลราชธานี พัทยา นนทบุรี และนครปฐมในสิ้นปี 2562 ก่อนขยายเป็น 20 สาขาทั่วประเทศในปี 2563 โดยหวังสร้างขยายเครือข่ายช่างและผู้รับเหมาท้องถิ่นจาก 2,000 คน เป็น 20,000 คน ในปีหน้า แต่ละแห่งใช้งบลงทุน 10-20 ล้านบาท และกำลังมีแผนขยาย “CPAC Solution Center” ไปต่างประเทศด้วย เช่น เมียนมาร์ และอินโดนิเซีย
นายชนะ กล่าวว่า มั่นใจว่า “CPAC Construction Solution” จะทำให้เรามียอดขายซีแพคซีเมนต์ดีขึ้นจากยอดขายในปีนี้ที่ซบเซา จากภาวะเศรษฐกิจ รวมถึงน้ำท่วม คาดว่ายอดขายจะเท่ากับปี 2561 หรือ 23,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ในเบื้องต้น “CPAC Construction Solution” จะเน้นกลุ่มโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ก่อน เพราะจะช่วยลดวัสดุเหลือทิ้ง ซึ่งเป็นปัญหามากสำหรับผู้รับเหมา เพราะที่ทิ้งหายาก ขณะเดียวกันก็ช่วยลดต้นทุนได้อย่างดี จากคุณภาพงานที่ดีขึ้น และเวลาที่ใช้ในการก่อสร้างลดลง โดยรวมแล้วจะช่วยลดการสูญเสียได้ไม่ต่ำกว่า 10%
จากการนำร่องดำเนินงานในโครงการต่างๆพบว่าได้ผลดี ทั้งโครงการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์โรงงานปูนซีเมนต์แก่งคอย สระบุรี เฟส 3 และ โรงกำจัดกากอุตสาหกรรม และหน่วยผลิตไฟฟ้า สำหรับกลุ่มเป้าหมายของเรายังจะรวมถึงฟาร์มปศุสัตว์อีกด้วย โดยเฉพาะฟาร์มหมู
เพราะที่ผ่านมาการก่อสร้างโรงเรือนสำหรับเลี้ยงหมู เกิดขึ้นจำนวนมากจากการขยายตัวของระบบคอนแทคฟาร์มมิ่ง ราว 1,000 โรงต่อปี ขณะเดียวกันก็เกิดปัญหาในการก่อสร้าง บ่อยครั้งผู้รับเหมาะทิ้งงาน การใช้โซลูชั่นของเราจะทำให้การออกแบบและก่อสร้างจริงสอดรับกัน ตรงตามความต้องการของเจ้าของฟาร์ม บวกกับคำแนะนำของเราที่ประสานงานกับสัตวแพทย์ด้วย ทำให้ฟาร์มหมูโปร่ง ลดการแออัด และลดโรคในหมูได้
ที่สำคัญทำให้เวลาในการก่อสร้างลดลงจาก 6 เดือนเหลือ 3 เดือน ส่วนกลุ่มเจ้าของบ้าน ช่าง และผู้รับเหมารายย่อยในงานก่อสร้างบ้านอยู่อาศัยจะเป็นกลุ่มลูกค้าเป้าหมายต่อไป นอกจากนี้โซลูชั่นของเราจะรวมทั้งงานก่อสร้างใหม่ และงานซ่อมแซมด้วย ซึ่งตอนนี้เรามีงานที่ร่วมกับผู้รับเหมารายใหญ่ต่างๆ เช่น งานท่าเรือ สะพาน เป็นต้น
