ผลการศึกษาชุด “Brand Footprint Report 2018” เป็นชุดรายงานการศึกษาวิจัยแบรนด์ในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค (FMCG) พร้อมจัดอันดับสุดยอดแบรนด์ที่ผู้บริโภคตัดสินใจเลือกซื้อสูงสุด ที่ดำเนินการโดย กันตาร์ เวิร์ลดพาแนล ในเครือ WPP ซึ่งมีการจัดอันดับแบรนด์ระดับโลกเป็นประจำทุกปี
สำหรับรายงาน Brand Footprint ในประเทศไทยได้ศึกษาและสรุปผลติดต่อกันมาเป็นปีที่ 6 ด้วยข้อมูลและแนวคิด ตลอดจน กลยุทธ์ในการสร้างแบรนด์ให้ติดตลาดของแบรนด์ชั้นนำทั้งหลาย โดยศึกษาจากแบรนด์กลุ่ม FMCG ต่างๆ ในไทยกว่า 547 แบรนด์ และวิเคราะห์พฤติกรรมการจับจ่ายกว่า 245 ล้านครั้งของการนักช้อปชาวไทย โดยใช้ฐานวิจัยจากครัวเรือนไทยทั้งผู้บริโภคที่เป็นคนเมืองและเขตต่างจังหวัดกว่า 4,000 ตัวอย่าง ซึ่งใช้เป็นตัวแทนแสดงพฤติกรรมการซื้อของประชากรทั่วประเทศ 24.7 ล้านครัวเรือน
ปีนี้กันตาร์ เวิร์ลดพาแนล ประเทศไทย ได้วิจัยจัดอันดับสุดยอดแบรนด์ในกลุ่มพิเศษเพิ่มอีกประเภท เพื่อให้สอดคล้องกับสภาวะตลาด คือ แบรนด์ดาวรุ่งในกลุ่มผู้บริโภคแต่ละช่วงวัย ผลการจัดอันดับมีดังนี้
- กลุ่มมิลเลนเนียล : ไวไว
- กลุ่มครอบครัว : นมไทย – เดนมาร์ค
- กลุ่มวัยผู้ใหญ่ : มรกต
- กลุ่มสูงวัย : บีทาเก้น
สกุล สุขสวัสดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายขาย บริษัท บีทาเก้น จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายนมเปรี้ยว “บีทาเก้น” กล่าวว่า บีทาเก้น เป็นนมเปรี้ยวที่ผลิตจากเชื้อจุลินทรีย์โพรไบโอติก ที่ดำเนินธุรกิจมากว่า 27 ปี
นอกจากนี้บังเป็นแบรนด์นมเปรี้ยวรายแรกที่เปิดตัวผลิตภัณฑ์ที่มีน้ำตาล 2% เมื่อ 8 ปีก่อน เนื่องจากเห็นแนวโน้มประเทศไทยก้าวสู่สังคมสูงวัยและเทรนด์การดูแลสุขภาพของผู้บริโภค จึงพัฒนาสูตรนมเปรี้ยวน้ำตาลต่ำมาทำตลาด ส่งผลให้ช่วง 3 ปีที่ผ่านมาเติบโตปีละ 10% ต่อเนื่อง
นอกจากนี้ได้ขยายการทำตลาดในกลุ่มเพื่อนบ้าน ทั้ง กัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม ซึ่งครองส่วนแบ่งการตลาดอันดับ 3 ปีนี้กำลังเตรียมเข้าไปตั้งบริษัทในจีน ที่ยูนนาน ปัจจุบันนักท่องเที่ยวจีนที่มาไทยรู้จักสินค้าบีทาเก้นเป็นอย่างดี รวมทั้งขยายตลาดส่งออกไปยังสิงคโปร์และมาเลเซีย ปัจจุบันสัดส่วยรายได้จากตลาดส่งออกอยู่ที่ 10% ปีที่ผ่านมามียอดขาย 4,000 ล้านบาท ปีนี้ตั้งเป้าเติบโต 5%
3 ปัจจัย‘บีทาเก้น’คว้าแบรนด์ดาวรุ่ง
จากการจัดอันดับ Brand Footprint 2018 ของกันตาร์ในกลุ่ม แบรนด์ดาวรุ่งในกลุ่มผู้บริโภคแต่ละช่วงวัย “บีทาเก้น” คว้าตำแหน่งดาวรุ่งกลุ่มสูงวัย สกุล กล่าวว่าความสำเร็จมาจาก 3 ปัจจัยหลัก คือ
- การพัฒนาไม่สิ้นสุด (Never Stop Improving) บีทาเก้น มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องในทุกด้าน ทั้งการวิจัยและกระบวนการผลิตที่ทันสมัยมาตรฐานยุโรปและมีกำลังผลิตมากกว่า 250 ตันต่อวัน นอกจากนี้ยังมีคลังควบคุมความเย็น 2-6 องศาเซลเซียล สามารถเก็บสินค้าได้กว่า 7 ล้านขวด
โดยช่วง 10 ปีที่ผ่านมา บีทาเก้น ลงทุนโรงงาน พัฒนาคลังสินค้าอุณหภูมิเย็น ช่องทางการจำหน่ายไปกว่า 1,000 ล้านบาท
- เข้าถึงทุกช่องทางการขาย (Excellent Distribution) บีทาเก้น มีรถกระจายสินค้าควบคุมความเย็นกว่า 100 คัน โดยมีช่องทางการขาย 2 ช่องทาง ได้แก่
Traditional Trade มีส่วนแบ่งการขาย 60% มีศูนย์กระจายสินค้าผ่านตัวแทนจัดจำหน่าย ที่มีคลังสินค้าย่อยควบคุมความเย็น 2-6 องศาเซลเซียล อีก 237 คลังสินค้าทั่วประเทศ พร้อมทั้งมีตัวแทนขายทั่วประเทศ 2,500 คน ตัวแทนขาย 1 คน จะให้บริการร้านค้าตู้แช่ 40-50 ร้านค้าที่มีฐานลูกค้าสมาชิกประมาณ 150 คน
Modern Trade มีส่วนแบ่งการขายประมาณ 40% บีทาเก้น วางจำหน่ายผ่านร้านสะดวกซื้อ, ไฮเปอร์มาร์เก็ต และซูเปอร์มาร์เก็ต มากกว่า 15,900 ร้านค้าทั่วประเทศ ซึ่งบีทาเก้น เป็นสินค้าขายดีและมีส่วนแบ่งการตลาดผ่านโมเดิร์นเทรด 70% ในกลุ่มสินค้านมเปรี้ยวที่มีจุลินทรีย์
- รสชาติที่ดี (Best Taste) นมเปรี้ยวบีทาเก้นมีความอร่อยและรสชาติถูกปาก ทุกเพศ ทุกวัย ซึ่งเป็นจุดเด่นที่ทำให้ได้รับการยอมรับ จากผู้บริโภคมา 27 ปี การทำตลาดต่างประเทศจึงเป็นรูปแบบส่งออกจากไทย เพื่อให้ผู้บริโภคมั่นใจว่าเป็นรสชาติเดียวกัน
“การคว้าตำแหน่งแบรนด์ดาวรุ่งกลุ่มสูงวัยของบีทาเก้นในปีนี้ มาจากการดูแลผู้บริโภคมาต่อเนื่องตั้งแต่วันแรกที่ดำเนินธุรกิจในปี 2535 โดยมีผู้บริโภคทุกวัย”
แบรนด์’ระดับโลก-ไทย’ที่ผู้บริโภคเลือกซื้อสูงสุด