ซาอุดีอาระเบียระงับการผลิตน้ำมันลงครึ่งหนึ่ง หลังเจอโดรนโจมตีโรงกลั่นน้ำมัน สถานการณ์ที่อาจทำให้ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกพุ่งสูงขึ้นอย่างมาก
เมื่อวานนี้ (14 ก.ย.) กลุ่มกบฎฮูตี ในเยเมน ได้ออกมาอ้างความรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ใช้โดรนถล่มโรงกลั่นน้ำมันของบริษัทซาอุดี อารัมโค ในจังหวัดแอบเกก ทางตะวันออกของซาอุดีอาระเบีย โดยบอกว่า ได้ส่งโดรน 10 ลำไปโจมตีโรงกลั่นดังกล่าว ที่มีขนาดใหญ่สุดในโลก
การปิดโรงกลั่นน้ำมันดังกล่าว จะทำให้น้ำมันดิบหายไปจากระบบราว 5 ล้านบาร์เรลต่อวัน หรือเกือบ 5% ของปริมาณการผลิตน้ำมันดิบทั่วโลก ซึ่งเจ้าหน้าที่แสดงความหวังว่า จะสามารถกลับมาผลิตได้ในระดับเดิมที่ 9.8 ล้านบาร์เรลต่อวัน ภายในวันพรุ่งนี้ (16 ก.ย.)
เหตุการณ์ดังกล่าว ยังเป็นการโจมตีครั้งล่าสุด ที่พุ่งเป้าไปยังสินทรัพย์ด้านน้ำมันของประเทศ ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ซึ่งนักวิเคราะห์ชี้ว่า อาจทำให้ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกพุ่งสูงขึ้น หากซาอุดีอาระเบีย ไม่สามารถฟื้นฟูการผลิตกลับมาอยู่ในระดับเดิมได้อย่างรวดเร็ว และมีความเป็นไปได้ที่จะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน ในการทำไอพีโอของบริษัทน้ำมันแห่งชาติซาอุดีอาระเบียรายนี้
อย่างไรก็ดี วอลล์สตรีท เจอร์นัล รายงานอ้างแหล่งข่าววงในว่า เจ้าหน้าที่ซาอุดีอาระเบีย กำลังหารือถึงการดึงน้ำมันสำรองออกมาจำหน่ายให้กับลูกค้าต่างประเทศ เพื่อรับประกันว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะไม่ส่งผลกระทบต่อการจัดหาน้ำมัน
ขณะที่สำนักข่าวซาอุดี เพรส ของทางการซาอุดีอาระเบีย รายงานว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ ได้โทรศัพท์ถึงเจ้าชายโมฮัมหมัด บิน ซัลมาน มกุฎราชกุมารซาอุดีอาระเบียเมื่อวานนี้ บอกว่า สหรัฐพร้อมที่จะร่วมมือกับซาอุดีอาระเบีย ในการสนับสนุนด้านความมั่นคง และเสถียรภาพ ซึ่งเจ้าชายโมฮัมหมัด บิน ซัลมาน มีรับสั่งว่า ซาอุดีอาระเบียต้องการ และมีความสามารถ ที่จะเผชิญหน้า และรับมือกับการโจมตีของกลุ่มก่อการร้ายได้
