ช่วง 1 – 2 ปีที่ผ่านมามีการนำโครงการอสังหาริมทรัพย์จากต่างประเทศ เข้ามาขายในไทยค่อนข้างมาก โดยเฉพาะโครงการจากประเทศอังกฤษ ซึ่งมีทั้งโครงการที่อยู่อาศัย และหอพักรอบมหาวิทยาลัย ได้รับการตอบรับค่อนข้างดีจากคนไทย แม้ว่าราคาขายค่อนข้างสูง ส่วนใหญ่เริ่มต้นไม่ต่ำกว่า 20 ล้านบาท สำหรับคอนโดมิเนียมขนาด 1 ห้องนอน
ความคึกคักในการเปิดขายโครงการอสังหาฯจากประเทศอังกฤษมีมากขึ้นตั้งแต่ช่วงกลางปี 2559 โดยเกิดขึ้นหลังจากที่ค่าเงินปอนด์ลดลง เมื่ออังกฤษมีผลประชามติเห็นชอบที่จะออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) ทำให้ค่าเงินปอนด์ลดลงทันที 10%
อสังหาฯลอนดอนเนื้อหอมหลังเงินปอนด์อ่อนค่า
ค่าเงินปอนด์อังกฤษลดลงชัดเจน มาจากช่วงก่อน Brexit ประมาณ 15 –16% ยังไม่มีแนวโน้มที่จะปรับขึ้น ยิ่งทำให้ตลาดอสังหาฯในอังกฤษ เป็นที่สนใจจากนักลงทุนมากขึ้น เพราะทำให้ซื้ออสังหาฯในอังกฤษได้ในราคาที่ถูกลง
สำหรับประเทศไทยก็เช่นกัน ผู้ประกอบการและนายหน้าอสังหาฯ ต่างเลือกเข้ามาเปิดขายโครงการที่อยู่อาศัย เพราะจำนวนนักเรียนและนักศึกษาไทยในอังกฤษมี 6,095 คน ทำให้ประเทศไทยได้รับความสนใจจากผู้ประกอบการอสังหาฯในอังกฤษ
ความต้องการซื้ออสังหาฯลอนดอนในประเทศไทยมีค่อนข้างสูง บริษัทนายหน้ามีการนำโครงการที่อยู่อาศัยรูปแบบต่างๆ จากอังกฤษ เข้ามาเปิดการขายในไทยต่อเนื่องในช่วง 1 – 2 ปีที่ผ่านมา ซึ่งคนไทยที่เลือกซื้ออสังหาฯในประเทศอังกฤษ มองเป็นการลงทุนระยะยาว ทั้งเรื่องค่าเงินที่ลดลง มูลค่าอสังหาฯที่เพิ่มขึ้น และเพื่อเป็นที่พักของบุตรหลานที่ไปศึกษาต่อ
ดังนั้น โครงการต่างๆ ที่เข้ามาเปิดขายในประเทศไทย จึงเป็นโครงการในลอนดอน หรืออยู่ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยอื่นๆ มากนัก อีกทั้งราคาคอนโดมิเนียม หรืออพาร์ทเม้นต์ในลอนดอน ก็ปรับขึ้นต่อเนื่องมาตลอด โดยเฉลี่ยแล้วปรับขึ้นประมาณ 3–5% ต่อปี ตลอด 2–3 ปีที่ผ่านมา
นอกจากนี้ ความต้องการที่อยู่อาศัยในลอนดอน ทั้งจากคนอังกฤษเองและชาวต่างชาติ ที่เข้ามาทำงานหรือศึกษาต่อ ก็มากขึ้นทุกปีเช่นกัน โดยเฉพาะความต้องการเช่าที่อยู่อาศัย เพราะการขอสินเชื่อธนาคารที่อาจจะเป็นปัญหาสำหรับพวกเขา
ตลาดเช่าเติบโตผลตอบแทนสูง
ดังนั้น คนรุ่นใหม่ทั้งที่เป็นคนอังกฤษ และชาวต่างชาติที่อายุไม่เกิน 40 ปี เลือกเช่าที่อยู่อาศัยมากกว่าการซื้อ หรือประมาณ 45% ของความต้องการที่อยู่อาศัยต่อปีที่มีประมาณ 3.6 แสนยูนิต ทำให้เป็นช่องทางหนึ่ง ที่ผู้ประกอบการและนายหน้าอสังหาฯในอังกฤษยกมาเป็นจุดขาย
ตลาดอสังหาฯในอังกฤษ น่าจะอยู่ในภาวะชะลอตัวแบบนี้ต่อไปจนกว่าทิศทางการถอนตัวออกจากสหภาพยุโรปจะมีความชัดเจน อาจจะใช้เวลา 1–2 ปีจากนี้ การนำโครงการที่อยู่อาศัยในอังกฤษเข้ามาขายในประเทศไทย จึงยังคงมีต่อเนื่องต่อไป
กฎหมายของสหราชอาณาจักร ให้นักลงทุนต่างชาติ ถือครองกรรมสิทธิ์เช่าได้นานถึง 999 ปี
ปัจจุบันพบว่าคนไทยส่งบุตรหลานเรียนสหราชอาณาจักร มากเป็นอันดับ 7 จากทั่วโลก และมักใช้เวลาเรียนอย่างน้อย 4 หรือ 5 ปี กลายเป็นแรงจูงใจในการเลือกซื้อที่อยู่อาศัย ซึ่งคุ้มค่ากว่าการเช่าห้องพัก หลังจากสำเร็จการศึกษาแล้ว อสังหาฯเหล่านั้นยังสามารถได้รับผลตอบแทนจากการเติบโตอย่างยั่งยืน
“The Dumont”ลุยเปิดขายในไทย
ในวันที่ 27-28 มิถุนายน 2561 ที่ผ่านมา บริษัท คอลลิเออร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย ร่วมกับ กลุ่ม บริษัท เบิร์กเลย์ จัดงานเอ็กซ์คลูซีฟดินเนอร์ เปิดขายคอนโดมิเนียมหรู โครงการ The Dumont กลางกรุงลอนดอน เป็นโครงการคอนโดฯโครงการที่ 3 ของกลุ่มบริษัท เบิร์กเลย์ บนทำเล Albert Embankment ทางทิศใต้ของแม่น้ำเทมส์
รูปแบบห้องพักประกอบด้วย ห้องแบบ สตูดิโอ –4 ห้องนอน ขนาด 414 -2,368 ตารางฟุต ราคาขายเฉลี่ย อยู่ที่ประมาณ 7.9 แสนปอนด์ – 3.5 ล้านปอนด์ พบว่ามีเศรษฐีไทยให้ความสนใจ ตอบรับร่วมงานจำนวนมาก รูปแบบห้องสตูดิโอ ปิดการขายแล้วทุกยูนิต ส่วน 1 ห้องนอนเหลือขายเพียงแค่ 1 ยูนิต
บริษัทได้เชิญให้แขก VIP เข้าชมโครงการ เป็นกลุ่มเล็กๆ ส่วนใหญ่เป็นนักธุรกิจที่ต้องการซื้อไว้เพื่อเป็นที่พักอาศัยของบุตรหลาน ขณะที่ศึกษาในอังกฤษ ผู้บริหารระดับสูง และนักลงทุนที่หวังผลตอบแทนจากการลงทุนอสังหาฯในอังกฤษ
ผู้เข้าชมโครงการล้วนเป็นเศรษฐีระดับร้อยล้าน เพราะโครงการราคาเริ่มต้นที่ 28 ล้านบาท งานนี้มีลูกค้าที่เป็นเศรษฐีจากไทย 4- 5 ราย สนใจซื้ออสังหาฯโครงการนี้รวมมูลค่าเกือบ 250 ล้านบาท