นายกรัฐมนตรีบอริส จอห์นสัน ต้องคว้าน้ำเหลวในข้อเสนอให้มีการจัดการเลือกตั้งทั่วไปครั้งใหม่ ซึ่งกำหนดไว้วันที่ 15 ตุลาคมนี้ หรือ 2 วันก่อนหน้าการประชุมนัดสำคัญของสหภาพยุโรป (อียู)ในเบลเยียม
ความล้มเหลวนี้ตามมาด้วยการประกาศลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรี และ ส.ส.พรรคอนุรักษ์นิยมของ นายโจ จอห์นสัน น้องชายของผู้นำอังกฤษ จากปมเห็นต่างเรื่องการแยกตัวออกจากอียู (เบร็กซิท) โดยเขาให้เหตุผลว่าเป็น “ความตึงเครียดที่แก้ไขไม่ได้” ในบทบาทของเขา และความขัดแย้งกันระหว่างความภักดีต่อครอบครัวกับผลประโยชน์ประเทศชาติ
สถานการณ์ที่เกิดขึ้น อาจทำให้บางคนเกิดข้อสงสัยขึ้นมาว่า ทำไมนายจอห์นสัน จึงประกาศให้มีการเลือกตั้งใหม่อย่างที่ต้องการไม่ได้ และเขาเหลือทางเลือกอะไรบ้างในเรื่องนี้
อังกฤษจะจัดเลือกตั้งใหม่อย่างไร
ภายใต้พระราชบัญญัติว่าด้วยการเลือกตั้งของสหราชอาณาจักร หรือ Fixed-term Parliaments Act นายกรัฐมนตรีไม่มีอำนาจประกาศจัดการเลือกตั้งด้วยตนเอง แต่จะต้องได้รับเสียงสนับสนุน 2 ใน 3 ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส) ทั้งหมด ในที่นี้คือ 434 คน แต่ในการลงคะแนนเมื่อคืนวันที่ 4 กันยายนที่ผ่านมา นายจอห์นสัน ได้รับเสียงสนับสนุนเพียง 298 คะแนนเท่านั้น
สาเหตุที่ “บอริส จอห์นสัน” แพ้
ส.ส.หลายคนกังวลว่านายจอห์นสันจะไม่ทำตามคำมั่นว่าจะจัดการเลือกตั้งในวันที่ 15 ตุลาคมนี้ โดยญัตติที่เขาเสนอภายใต้ พ.ร.บ. Fixed-term Parliaments Act ที่จะขอให้มีการจัดเลือกตั้งก่อนกำหนดนั้นไม่ได้ระบุวันที่จะจัดเลือกตั้งเอาไว้แน่นอน ทำให้การลงมติเมื่อวันที่ 4 กันยายนที่ผ่านมาเป็นการให้ ส.ส.ลงมติว่า “เห็นด้วยกับการจัดให้มีการเลือกตั้งทั่วไปก่อนกำหนดหรือไม่”
สมาชิกระดับสูงของพรรคแรงงาน ฝ่ายค้านหลักของอังกฤษ ระบุว่า พวกเขาจะไม่ลงคะแนนสนับสนุนการจัดการเลือกตั้งก่อนกำหนด ในขณะที่มีความเสี่ยงว่านายกรัฐมนตรีอาจเลื่อนวันเลือกตั้งไปหลังวันที่ 31 ตุลาคม ซึ่งเลยกำหนดเส้นตายในการถอนตัวออกจากอียู
เมื่อทราบวันเลือกตั้ง สภาฯ ต้องถูกยุบแล้วปิดตัวลง เป็นเวลา 25 วันก่อนวันเลือกตั้ง เมื่อมาถึงจุดนี้ นักการเมืองจะสิ้นสภาพการเป็น ส.ส. และเริ่มหาเสียงเพื่อให้ได้รับเลือกตั้งอีกครั้งหากต้องการทำหน้าที่เป็นผู้แทนราษฎรต่อไป
ทางเลือกอื่นของผู้นำอังกฤษ
ในขณะที่ กฎหมาย Fixed-term Parliaments Act กำหนดให้ญัตติจัดการเลือกตั้งทั่วไปต้องได้รับความเห็นชอบจาก ส.ส. 2 ใน 3 ของทั้งสภาล่าง แต่ก็ยังมีความเป็นไปได้ที่รัฐบาลจะหลบเลี่ยงข้อกำหนดนี้ได้ ด้วยการเสนอร่างกฎหมายฉบับใหม่ให้มีการเลือกตั้ง โดยกำหนดเงื่อนไขเพื่อป้องกันการอ้างอิงข้อกำหนดของ พ.ร.บ. Fixed-term Parliaments Act
ข้อดีของวิธีนี้ สำหรับรัฐบาลคือ สามารถทำได้โดยได้รับคะแนนเสียงข้างมากแบบธรรมดาในสภาล่าง โดยไม่จำเป็นต้องได้รับเสียง 2 ใน 3 ของสภาล่าง ด้วยวิธีนี้ ผู้เสนอร่างกฎหมายนี้ต้องกำหนดวันเลือกตั้งที่แน่นอน ซึ่งอาจทำให้ได้เสียงสนับสนุนจาก ส.ส.มากขึ้น แม้จะไม่มีการรับประกันว่ารัฐบาลจะชนะก็ตาม
อย่างไรก็ตาม วิธีนี้จะต้องใช้เวลานานขึ้น โดยร่างกฎหมายที่เสนอจะต้องผ่านความเห็นชอบจากสภาสูง เช่นเดียวกับสภาล่าง แต่การที่รัฐสภาจะเริ่มพักการประชุมในสัปดาห์หน้า การผ่านร่างกฎหมายจึงต้องแข่งกับเวลา
นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงที่ร่างกฎหมายนี้อาจถูกปรับแก้จากกลุ่ม ส.ส.ที่คัดค้านเบร็กซิท เช่น การบังคับให้ขยายกำหนดการถอนตัวจากอียูออกไป
ทางเลือกความเสี่ยงสูง
ส่วนวิธีที่ 3 เป็นทางเลือกที่มีความเสี่ยงสูงมาก โดยหากรัฐบาลต้องการจะจัดการเลือกตั้งก่อนกำหนดให้ได้ ในทางทฤษฎีก็สามารถขอให้มีการลงมติไม่ไว้วางใจรัฐบาลเองได้
หากเลือกทำเช่นนั้น ส.ส.จะเป็นผู้ตัดสินใจว่าต้องการให้รัฐบาลชุดปัจจุบันบริหารประเทศต่อไปหรือไม่ หากรัฐบาลถูกลงมติไม่ไว้วางใจ พรรคฝ่ายค้านก็จะมีเวลา 2 สัปดาห์ในการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ หากเป็นเช่นนั้น นายจอห์นสันจะต้องลาออก และนายกรัฐมนตรีคนใหม่อาจขอให้มีการชะลอเบร็กซิทออกไป เพื่อป้องกันการออกจากอียูโดยไร้ข้อตกลง
แต่หากไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้หลังจาก 14 วัน ก็จะมีการจัดเลือกตั้งก่อนกำหนดโดยอัตโนมัติ
อย่างไรก็ตาม นี่ถือเป็นกลยุทธ์ที่มีความเสี่ยงสูง เพราะต้องรอให้พรรคฝ่ายค้านไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ได้เท่านั้น
แคทเธอรีน แฮดดอน จากสถาบันคลังสมองของรัฐบาลระบุว่า โอกาสที่รัฐบาลจะใช้วิธีนี้มี “น้อยมาก” เธอชี้ว่า จากมุมมองทางการเมือง การขอให้มีการลงมติไม่ไว้วางใจตัวเองเป็นเรื่องที่ดูเสียสติมาก
ในทางกฎหมาย การเลือกตั้งทั่วไปครั้งต่อไปจะไม่เกิดขึ้นจนถึงปี 2565 หรือ 5 ปีหลังจากการเลือกตั้งครั้งล่าสุด
แม้ว่าการขอให้มีการจัดเลือกตั้งก่อนกำหนดจะมีความเสี่ยง แต่นายจอห์นสันตั้งเป้าที่จะให้พรรคอนุรักษ์นิยมเก็บที่นั่งในสภาได้เพิ่มขึ้น เพื่อช่วยยุติภาวะชะงักงันทางการเมือง และดำเนินการเรื่องเบร็กซิทได้ง่ายขึ้น
ที่มา : BBC Thai