ตอนนี้เจ้าครองถนน คงไม่พ้นมอเตอร์ไซค์ ทั้งรับจ้างขนส่งอาหาร และพัสดุต่างๆที่เข้ามาวิ่งกันหลากหลายแบรนด์เต็มถนน และรถไม่รับจ้าง วิ่งส่วนตัวแทนรถยนต์ เพราะซอกแซกไปได้เร็วกว่า หลีกเลี่ยงรถติด
ปี 2561 มอเตอร์ไซค์ทั่วประเทศสะสม ปาเข้าไป 20.5 ล้านคัน ผู้ใช้รถกลุ่มนี้ จึงเป็นอีกส่วนหนึ่งที่ก่อมลพิษอย่างปฏิเสธไม่ได้
วันนี้มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า เป็นอีกทางเลือกสำหรับการลดปัญหามลพิษบนถนน และกำลังได้รับความสนใจจากกลุ่มคนรักโลก และหลายๆหน่วยงานที่ต้องการลดปัญหาควันพิษ
นายณัฐธนนท์ วงศ์ปฏิปทานนท์ ผู้จัดการฝ่ายขาย บริษัท อีลอน มอเตอร์ จำกัด ผู้แทนจำหน่ายมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้ายี่ห้อ ELON หนึ่งในแบรนด์ที่เข้าร่วมโครงการมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าเบอร์ 5 ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) กล่าวว่ากระแสลดโลกร้อน โดยเฉพาะการลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ ประกอบกับไม่มีเสียง ทำให้มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้ามียอดขายดีขึ้นตามลำดับ
จากปี 2560 ที่นำเข้าครั้งแรกมียอดขาย 17 คัน ปีที่ผ่านมา เพิ่มเป็น 100 คัน สถิติ 7 เดือนของปีนี้มียอดขายแล้ว 120 คัน คาดว่าจนถึงสิ้นปีจะทะลุ 200 คัน ถือว่ายอดขายพอไปได้
ปัจจุบันอีลอน ขายอยู่ 2 รุ่น เป็นรุ่นเล็ก ชื่อ รุ่น E2 กำลังมอเตอร์ 2,500 วัตต์ ส่วนรุ่นใหญ่ชื่อ BB8 4,200 วัตต์ คุณสมบัติรุ่นเล็ก วิ่งได้ 60-70 กม.ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง ความเร็วสูงสุด 70 กม.ต่อชม. ราคา 95,000 บาท ส่วนรุ่นใหญ่ 100-120 กม.ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง ความเร็วสูงสุด 90 กม.ต่อชม. ราคา 109,000 บาท
ทั้งนี้หากเทียบกับมอเตอร์ไซค์ใช้น้ำมันยอมรับว่าแพงกว่า แต่หากเทียบไปที่ผลการประหยัดแล้วมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าสามารถคืนทุนภายใน 3 ปี ทั้งนี้รวมการเปลี่ยนแบตเตอรี่ 1 รอบแล้ว ซึ่งรุ่นใหญ่ราคาแบตเตอรี่อยู่ที่ 40,000 บาท ส่วนรุ่นเล็ก 18,000 บาทอายุการใช้งาน 3 ปี
ค่าใช้จ่ายในการชาร์จรวมปีละ 20,000 บาท ขณะที่รถน้ำมันเติมเบนซิน 91 และ 95 เสียค่าน้ำมันปีละ 50,000 บาท แต่ที่สำคัญไปกว่านั้นคือไม่มีควัน ไม่ก่อมลพิษบนท้องถนน เพราะประเทศไทยมีมอเตอร์ไซค์ นอกจากนี้การชาร์จไฟฟ้ายังสะดวก สามารถเสียบเข้ากับปลั๊กปกติที่เราใช้งานทั่วไปตามบ้าน ร้านอาหาร หรือร้านกาแฟต่างๆได้เลย
อย่างไรก็ตามเรามีแผนที่จะนำเข้าชิ้นส่วนมาประกอบเองในประเทศ แทนการนำเข้าทั้งคัน ขณะนี้พัฒนาร่วมกับ 2 สถาบัน คือ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี พัฒนาแบตเตอรี่ และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือพัฒนาตัวรถ
ตั้งเป้าหมายจะทำให้วิ่งได้ 200 กม.ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง และปลายปีนี้รถต้นแบบน่าจะแล้วเสร็จและออกมาทดสอบ จากนั้นในปลายปีหน้า คาดว่าจะประกอบรถออกจำหน่ายในท้องตลาดได้ ราคาประมาณ 60,000-70,000 บาท
หากยอดขายดี จึงจะมองไปถึงการผลิตเองในประเทศแทนการนำเข้าชิ้นส่วนมาประกอบ เพราะการตั้งไลน์การผลิตต้องใช้เงินลงทุนสูงหลักพันล้านบาท และต้องมีกำลังผลิตออกมาประมาณ 1,000 คันต่อไลน์การผลิต หรือ ทั้งโรงงานต้องมีจำนวน 10,000-20,000 คันจึงจะคุ้มกับการลงทุน
ทั้งนี้ในส่วนของผู้ผลิตมอเตอร์ไซค์ใช้น้ำมันรายใหญ่เอง ก็กำลังทดสอบ เพื่อปรับไปสู่รถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าเช่นเดียวกัน เพราะเทรนด์ของโลกอนาคต ต้องไปที่ยานยนต์ไฟฟ้าแน่นอน
อย่างไรก็ตามในช่วงเริ่มต้นของยานยนต์ไฟฟ้า ต้องการการสนับสนุนจากรัฐ โดยเฉพาะเรื่องภาษีนำเข้าในช่วงที่ต้องนำเข้ารถมาจำหน่ายทดลองตลาด เพื่อให้ราคารถถูกลงใกล้เคียงรถน้ำมัน ผลักดันให้ตลาดมีความต้องการ การตั้งไลน์ผลิตในประเทศจึงจะตามมาในที่สุด ไม่เช่นนั้นมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า หรือรถยนต์ไฟฟ้า ก็จะเป็นแค่ของเล่นของรวย ต่อไป เพราะราคายังสูงอยู่มาก กลุ่มเป้าหมายก็จะเป็นตลาดบนไม่สามารถลงมาทำตลาดใหญ่ได้