แบรนด์เสื้อผ้าชื่อดัง “เอสปรี” ประกาศยุติการผลิตจากโรงงานในเมียนมา ซึ่งตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรม ที่รายงานของยูเอ็น ชี้ว่า เกี่ยวข้องกับกองทัพเมียนมา ขณะที่แบรนด์อื่นๆ รวมถึง เอชแอนด์เอ็ม และเบสต์เซลเลอร์ ระบุ กำลังพิจารณาสถานการณ์อยู
เว็บไซต์นิกเคอิ เอเชียน รีวิว รายงานว่า รายชื่อซัพพลายเออร์ ของบริษัทผลิตเสื้อผ้ารายต่างๆ แสดงให้เห็นว่า แบรนด์ที่มีชื่อเสียงหลายราย ดำเนินการจ้างผลิตจากโรงงานต่างๆ ที่ตั้งอยู่ภายในนิคมอุตสาหกรรม 2 แห่ง ที่รายงานของสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ระบุว่า เมียนมา อิโคโนมิค โฮลดิ้งส์ (เอ็มอีเอชแอล) บริษัทของกองทัพเมียนมา เป็นเจ้าของ
รายงานของคณะทำงานค้นหาข้อเท็จจริงระหว่างประเทศในเรื่องเมียนมา หน่วยงานในสังกัดยูเอ็น ยังระบุชื่อ เมียนมา ไวซ์ แปซิฟิค แอพพาเรล ย่างกุ้ง โค ว่า เป็นบริษัทร่วมลงทุนระหว่าง เอ็มอีเอชแอล และแพน แปซิฟิค โค ของเกาหลีใต้
นอกจากนี้ รายงานยังให้รายละเอียดถึงอาณาจักรธุรกิจที่กองทัพเมียนมาควบคุมอยู่ และว่า รายได้จากธุรกิจเหล่านี้ ที่ครอบคลุมทั้งด้านก่อสร้าง ทำเหมืองอัญมณี ประกัน ท่องเที่ยว ธนาคาร และการผลิต ทำให้กองทัพสามารถหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบ ทั้งยังมีแหล่งเงินทุนสำหรับการปฏิบัติการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการละเมิดสิทธิมนุษยชน
กลุ่มบริษัทที่จ้างผลิตจากโรงงานที่ตั้งอยู่ในเขตนิคมอุตสาหกรรม ของเอ็มอีเอชแอล ในนครย่างกุ้ง โดยเฉพาะนิคมอุตสาหกรรมงเว ปินเล และนิคมอุตสาหกรรมปยินมาบิน รวมถึง เน็กซ์ เบสต์เซลเลอร์ เอชแอนด์เอ็ม มาร์คแอนด์สเปนเซอร์ ซีแอนด์เอ และเอสปรี
แบรนด์เสื้อผ้าที่จดทะเบียนในฮ่องกง “เอสปรี” ระบุว่า ได้ดำเนินการตรวจสอบซัพพลายเชนของบริษัท และจะยุติการทำธุรกิจกับเพอร์เฟคท์ เกนส์ การ์เมนท์ แมนูแฟคเจอริง ซึ่งมีโรงงานอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมงเวปินเล
“เอสปรีจะยุติคำสั่งผลิตในอนาคต จากโรงงานของเพอเฟคท์ เกนส์ ในเมียนมาทันที และจะจับตาสถานการณ์ที่น่ากังวลนี้ต่อไปอย่างใกล้ชิด” แถลงการณ์เอสปรี ระบุ พร้อมย้ำว่า บริษัทไม่เคยรู้เกี่ยวกับความสัมพันธ์ที่เชื่อมโยงกับกองทัพเมียนมามาก่อน
ทางด้านเอชแอนด์เอ็ม บอกว่า จะดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงของข้อมูลในรายงาน และว่า ตลอดระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมา บริษัทได้หารือกับรัฐบาลเมียนมาเป็นระยะๆ เพื่อเน้นถึง “ความสำคัญ และความเร่งด่วน” ของการปฏิบัติตามคำแนะนำจากยูเอ็น และสหภาพยุโรป (อียู)
“เอชแอนด์เอ็ม กรุ๊ป ให้ความสำคัญอย่างจริงจังกับประเด็นที่ถูกหยิบยกขึ้น และในขณะนี้เรากำลังพิจารณารายงานอย่างละเอียดเพื่อหาข้อสรุป และตัดสินใจถึงมาตรการที่จำเป็น และเหมาะสม ที่จะดำเนินการต่อไป” เอชแอนด์เอ็ม ระบุในอีเมล
เช่นเดียวกับเบสต์เซลเลอร์ ที่บอกว่า กำลังพิจารณารายงานฉบับดังกล่าว เพื่อประเมินว่า บริษัทจำเป็นต้องดำเนินมาตรการหนึ่งมาตรการใดอย่างเจาะจงหรือไม่
ทั้งนี้ เอ็มอีเอชแอล และเมียนมา อิโคโนมิค คอร์ป (เอ็มอีซี) ซึ่งเป็นธุรกิจของกองทัพเมียนมา เป็นเจ้าของธุรกิจ 120 แห่ง และมีสายสัมพันธ์เชื่อมโยงกับบริษัท “ใกล้ชิด” อีกอย่างน้อย 27 ราย
ในเดือนนี้ “นิวเทค” บริษัทโทรคมนาคมเบลเยี่ยม แถลงว่า ได้ยุติความสัมพันธ์กับ “มายเทล” บริษัทโทรคมนาคมเมียนมา ที่รายงานยูเอ็น ระบุว่า มีส่วนเกี่ยวข้องกับเอ็มอีซี ผ่านการปรับโครงสร้างธุรกิจ