สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก เปิดเผยข้อเท็จจริงกรณี “อาลีบาบา” ยักษ์ใหญ่อีคอมเมิร์ซ สัญชาติ เข้าลงทุนโครงการศูนย์จัดการสินค้าอัจฉริยะ ภายในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) โดยระบุว่า การเข้ามาลงทุนของอาลีบาบานั้น ทางบริษัทไม่ได้ขอรับการส่งเสริมการลงทุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) แต่อย่างใด จึงไม่ได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษี 13 ปี
ทั้งนี้ การที่จะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ 13 ปี จากการส่งเสริมการลงทุนของบีโอไอนั้น จะจำกัดเฉพาะโครงการที่มีผลต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคมที่ต้องลงทุนสูง หรือเป็นโครงการวิจัย และพัฒนาด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมขั้นสูง ได้แก่ เทคโนโลยีชีวภาพ นาโนเทคโนโลยี เทคโนโลยีวัสดุขั้นสูง และดิจิทัลเทคโนโลยี
ส่วนเรื่องที่ว่าอาลีบาบา ถือครองที่ดินสำหรับการลงทุนในพื้นที่อีอีซีนั้น นับเป็นการถือครองที่ดินตามปกติ เป็นไปตามกฎหมายสำหรับบีโอไอ และการนิคมอุตสาหกรรม
สำหรับกรณีที่อีอีซีได้อำนวยความสะดวกการชำระภาษีศุลกากรจากเดิมที่ต้องชำระทุกวัน เป็นทุก 14 วันนั้น ถือเป็นต้นแบบการอำนวยความสะดวกทางศุลกากร ให้แก่ธุรกิจ อีคอมเมิร์ซ ที่ในปัจจุบัน ผู้บริโภคมักจะสามารถคืนสินค้าได้ภายใน 14 วัน หากสินค้าชำรุด เสียหาย หรือไม่พึงพอใจของสินค้า จึงกำหนดให้สินค้าที่ส่งออกจากเขตปลอดอากรในเขตเศรษฐกิจพิเศษ จะยังไม่ต้องเสียอากรจนกว่าจะครบกำหนด 14 วัน
การลงทุนของอาลีบาบา ในภาพรวมจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศ และประชาชนคนธรรมดา เพราะจะเกิดการสนับสนุนอีคอมเมิร์ซ ที่คนไทยสามารถเข้าถึงได้สะดวกขึ้น เป็นการขยายช่องทางการตลาดให้สินค้าหลักของประเทศ ได้แก่ สินค้าเกษตร และช่วยให้วิสาหกิจขนาดกลาง และย่อม มีช่องทางการตลาดมากยิ่งขึ้น