Business

3 ภัยพิบัติเสี่ยงครึ่งปีหลัง ‘แล้ง-ท่วมฉับพลัน-ฝุ่น’ แนะอุตสาหกรรมเร่งทำแผนรับมือ

นักวิชาการด้านความเสี่ยง ชี้ 3 ความเสี่ยงภัยพิบัติครึ่งหลังปี 62 แต่ภาคอุตสาหกรรมไทยยังขาดระบบการบริหารความเสี่ยงด้านภัยพิบัติที่มากพอ ส่งผลให้แต่ละครั้งที่เกิดเหตุการณ์ต่าง ๆ มักมีผลกระทบถึงความต่อเนื่องในการดำเนินงาน กระตุ้นภาคอุตสาหกรรมควรหันมาให้ความสนใจและวางแผนในเรื่องความเสี่ยงทางอุตสาหกรรมจากภัยพิบัติ 3 ประเภท ได้แก่ น้ำท่วมฉับพลัน ความแห้งแล้ง และฝุ่นจิ๋ว PM 2.5

ดร.ณัฏฐ์ ลีละวัฒน์
ณัฏฐ์ ลีละวัฒน์

ดร.ณัฏฐ์ ลีละวัฒน์ หัวหน้ากลุ่มวิจัยระบบสารสนเทศการจัดการภัยพิบัติและความเสี่ยง และอาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมอุตสาหการ คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยว่า ปัจจุบันภาครัฐและโรงงานอุตสาหกรรมในประเทศไทยได้นำเอาเทคโนโลยีที่เกี่ยวกับการผลิตเข้ามาใช้ในระบบอุตสาหกรรมมากยิ่งขึ้น

แต่จากข้อมูลกลับพบว่าโรงงานอุตสาหกรรมหลายแห่งยังไม่มีระบบบริหารจัดการความเสี่ยงด้านภัยพิบัติที่มากพอ ส่งผลให้ทุกครั้งที่เกิดภาวะน้ำท่วมฉับพลัน หรือภัยพิบัติในด้านอื่น ๆ มักจะเกิดผลกระทบต่อระบบการผลิตทำให้เกิดความไม่ต่อเนื่องและหลายธุรกิจจำเป็นต้องหยุดชะงัก ทั้งยังส่งผลต่อห่วงโซ่การผลิต หรือซัพพลายเชน ของประเทศ กระทบความเชื่อมั่นในการลงทุนและลดโอกาสทางธุรกิจ

สำหรับช่วงครึ่งปีหลัง 2562 นี้ ภาคอุตสาหกรรมไทยควรวางแผนในเรื่องความเสี่ยงทางอุตสาหกรรมโดยเฉพาะจากภัยพิบัติ 3 ประเภทได้แก่ ภัยแล้ง โดยเฉพาะในปีนี้ด้วยเหตุจากปรากฏการณ์เอลนีโญ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อภาคการผลิตเนื่องจากโรงงานอุตสาหกรรมเกือบทุกประเภทจำเป็นจะต้องใช้น้ำเป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการผลิต โดยคาดว่าพื้นที่ที่จะได้รับผลกระทบมากจะเป็นพื้นที่ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และอาจมีผลกระทบต่อพื้นที่ภาคตะวันออก เช่น เขตอีอีซีคือ ระยอง ชลบุรี ฉะเชิงเทรา

น้ำท่วมฉับพลัน 2

ภัยจากน้ำท่วมฉับพลัน ที่อาจส่งผลความล่าช้าและความต่อเนื่องทั้งในการกระจายสินค้า การผลิต รวมถึงผลกระทบที่มีต่อเครื่องจักรและความปลอดภัย ส่วนปัญหาอุทกภัยคาดว่าปีนี้จะไม่อยู่ในระดับวิกฤติ เนื่องด้วยข้อมูลการระบายของน้ำในแหล่งน้ำต่าง ๆ และข้อมูลสภาพภูมิอากาศที่ไม่น่ากังวลมากนัก และ ปัญหาฝุ่นจิ๋ว PM 2.5 โดยเฉพาะในช่วงเดือนพฤศจิกายน – ธันวาคม ยาวไปถึงต้นปีถัดไปที่อาจจะมีความรุนแรง โดยโรงงานอุตสาหกรรมควรมีแผนควบคุมมลพิษที่เกิดจากกระบวนการผลิต รวมทั้งการจัดการหากสภาวะดังกล่าวอยู่ในขั้นวิกฤติ ซึ่งอาจส่งผลต่อสุขภาพของบุคลากรหรือผู้ใช้แรงงาน

นอกจากนี้ โรงงานอุตสาหกรรมทุกขนาดรวมทั้งกลุ่มธุรกิจเอสเอ็มอี จึงควรมีการสรรหาเทคโนโลยีเพื่อรองรับหรือป้องกันผลกระทบดังกล่าว รวมถึงมีแผนในการบริหารความเสี่ยงเพื่อให้เกิดความต่อเนื่องในการดำเนินงาน (Business Continuity Management) ให้มากขึ้น ซึ่งยังเป็นผลดีในด้านการลดค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงรักษาที่ในภาพรวมมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 1 แสนล้านบาทต่อปี

ฝุ่นจิ๋ว PM 2.5

ล่าสุดคณะวิศวกรรมศาสตร์ ร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ ในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทั้งวิทยาลัยประชากรศาสตร์ คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี หลักสูตรสหสาขาวิชาการจัดการความเสี่ยง และคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ องค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น หรือไจก้า(JICA) และสถาบันเทคโนโลยีแห่งนาโงยะ (Nagoya Institute of Technology) ประเทศญี่ปุ่น นำแนวคิด Area-Business Continuity Management (Area-BCM) หรือแนวคิดการบริหารความต่อเนื่องทางธุรกิจระดับพื้นที่ของประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นการคำนึงถึงทรัพยากรและหน่วยงานต่าง ๆ ในพื้นที่ รวมถึงความสัมพันธ์ระหว่างภาครัฐและเอกชนมาปรับใช้กับภาคอุตสาหกรรมในประเทศไทยสำหรับรับมือผลกระทบด้านอุทกภัย

ทั้งนี้ คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจะนำโมเดล Area – BCM ไปร่วมจัดแสดงในงาน “Maintenance & Resilience ASIA 2019” (MRA 2019) ซึ่งจัดโดยสมาคมบริหารจัดการประเทศญี่ปุ่น (JMA) ร่วมกับบริษัท เอ็กซโปซิส โดยได้ร่วมมือกับภาครัฐบาลไทย เช่น กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงคมนาคม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยกิจกรรมดังกล่าวเป็นนิทรรศการแสดงเทคโนโลยี นวัตกรรม เกี่ยวกับการอุตสาหกรรม ระบบโครงสร้างพื้นฐานชั้นนำ ระหว่างวันที่ 2-4 ตุลาคม 2562

นายทาดาชิ โยชิดะ
ทาดาชิ โยชิดะ

ด้าน นายทาดาชิ โยชิดะ ประธานสมาคมบริหารจัดการประเทศญี่ปุ่น หรือ JMA กล่าวว่า JMA ได้จัดงาน Maintenance & Resilience Tokyo ในประเทศญี่ปุ่นเป็นเวลาเกือบ 60 ปีแล้ว จากความต้องการที่เพิ่มขึ้นของอุปกรณ์ เทคโนโลยี และโซลูชั่นในการบำรุงรักษาโรงงานและโครงสร้างพื้นฐานในประเทศไทย และนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ที่ชัดเจนของรัฐบาลไทย จึงเป็นตัวผลักดันให้ JMA ริเริ่มจัดงาน Maintenance & Resilience ASIA 2019 ณ ไบเทค บางนา ระหว่างวันที่ 2 – 4 ตุลาคมขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

สำหรับอตสาหกรรมประเทศญี่ปุ่น คำว่า Maintenance ไม่ใช่การซ่อมเพื่อให้ใช้งานได้ แต่คือการนำเทคโนโลยีมาใช้ในระบบกระบวนการผลิตเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต งานดังกล่าวจึงมุ่งเป้าไปที่การนำเสนอนวัตกรรม เทคโนโลยี ระบบ เอไอ, ไอโอที, เซ็นเซอร์ โรโบติกส์ และโซลูชั่นล้ำสมัยสำหรับการบริหารและวางแผนงานบำรุงรักษาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ซึ่งเป็นกุญแจสู่การผลิตและโครงสร้างพื้นฐานอัจฉริยะสำหรับประเทศไทยและอาซียน นอกจากนี้ยังมีการจัดแสดงสินค้า การประชุมวิชาการ การสร้างเครือข่ายพันธมิตรธุรกิจอันจะนำมาซึ่งคุณประโยชน์มหาศาลแก่อุตสาหกรรมและคมนาคมของประเทศไทย

Avatar photo