ในโอกาสครบรอบ 55 ปี สมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA) ได้จัดงาน TMA Thailand Management Day 2019 ภายใต้แนวคิด GROWTH: Building for the Future เพื่อมุ่งเน้นให้ทุกองค์กรเพิ่มขีดความสามารถในการพัฒนาทางการตลาด และนำไปสู่หนทางการเติบโตที่ยั่งยืนในทุกมิติ โดยเชิญบรรดากูรูต่างๆ ทั้งนักอนาคต และนักการตลาดมาเผยมุมมองเทรนด์แห่งโลกอนาคต ซึ่งจะเป็นโอกาสให้องค์กรต่างๆ ได้ปรับตัว และใช้เป็นแนวทางการทำงานต่อไป
สำหรับเทรนด์การทำตลาดในปีนี้ ทุกภาคส่วนต่างมุ่งให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีเอไอ ในการนำมาปรับใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดทั้งทางธุรกิจ รวมถึงพัฒนาบุคลากร
นายมาร์ติน วีซอฟสกี้ ประธานกรรมการบริหาร ด้านการออกแบบและนักอนาคตศาสตร์ ศูนย์นวัตกรรมของ SAP ผู้ซึ่งติดอันดับ 1 ใน 100 คนที่มีความคิดด้านนวัตกรรมในประเทศเยอรมัน กล่าวว่า เทคโนโลยีเอไอ จะกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในอนาคต เพราะเอไอ มีขีดความสามารถที่แผ่ขยายไปได้กว้างอีกมาก และสามารถต่อยอดธุรกิจไปได้อีกหลายรูปแบบ
ยกตัวอย่างเช่น ตุ๊กตาที่สามารถพูดโต้ตอบกับมนุษย์ได้ ทั้งยังบันทึกเหตุการณ์ผ่านกล้องและเซ็นเซอร์ที่ติดไว้ที่ตาของตุ๊กตา เชื่อม ไวไฟ สามารถโทรไปสั่งอาหารแล้วส่งทางโดรนให้กับเด็กที่เล่นตุ๊กตาแล้วหิว หรือแม้กระทั่งส่งข้อมูลไปยังผู้ปกครองหรือตำรวจในกรณีเกิดเหตุการณ์ร้ายแรง จะเห็นได้ว่าอีโคซิสเต็มที่เกิดขึ้นกับสินค้าอย่างตุ๊กตาดังกล่าวมีหลายธุรกิจเข้ามาเกี่ยวข้อง
นอกจากนี้ ยังมีกระแสการท่องเที่ยวอวกาศที่กำลังเกิดขึ้นในเวลานี้ ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ปัจจุบันมีหลายธุรกิจกำลังเกิดขึ้นมารองรับตลาดการท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ดังกล่าว เช่น สตาร์ทอัพรายหนึ่งในยุโรปที่ใช้จรวดในการเก็บสะเก็ดดวงดาวนำมาวิเคราะห์หาเชื้อเพลิงไว้ใช้ในยามท่องอวกาศ หรือแม้แต่การทำเกษตรกรรม และอุตสาหกรรมบนดาวต่างๆ ด้วย
อย่างไรก็ตาม จุดเริ่มต้นเพื่อที่จะไปให้ถึงอนาคตตามจินตนาการให้ได้นั้น จำเป็นต้องมาจากการการออกแบบอนาคตเสียก่อน เช่น ปัญญาของเครื่องกลในวันนี้ ล้วนเกิดขึ้นจากสิ่งที่มนุษย์จินตนาการเมื่อหลายสิบปีก่อน ดังนั้นหน้าที่สำคัญที่สุดของมนุษย์ทุกคนคือ การตั้งคำถามในทุกๆ วันที่ตื่นขึ้นมาตอนเช้าว่า อะไรคืออนาคต หรืออนาคตควรมีหน้าตาแบบไหน
ทั้งนี้ เอไอ จะเป็นเทคโนโลยีที่จะเข้ามาเพิ่มโอกาสให้กับธุรกิจในอนาคต อีกทั้งองค์กรต่างๆ สามารถนำเทคโนโลยีเอไอ มาปรับใช้ในการองค์กรให้เป็นตัวช่วยหรือส่งเสริมการทำงานของพนักงาน ซึ่งจะทำให้พนักงานกลายเป็น Super Human ที่มีเวลาหรือใช้สมองไว้สำหรับการเสาะหา หรือค้นหาสิ่งใหม่ๆ หรือแก้ปัญหาใหม่ๆ ให้กับองค์กรได้มากขึ้น
“ภายใน 10 ปีข้างหน้านี้องค์กรต่างๆ ต้องหาวิธีที่จะนำเทคโนโลยีเอไอ มาทำงานร่วมทำงานกับมนุษย์ผ่านแพลตฟอร์มทางเทคโนโลยี ให้เกิดการพึ่งพาอาศัยกันทั้งในแง่ความคิดและตัดสินใจ เพื่อที่พนักงานจะได้เอาทักษะของมนุษย์ไปผลิตอะไรอย่างอื่นเพิ่มขึ้น” นายวีซอฟสกี้ กล่าว
สำหรับในประเทศไทย ที่ผ่านมาพบว่า อุตสาหกรรมการเงิน และการสื่อสารโทรคมนาคม เป็น 2 อุตสาหกรรมที่ถูกดิจิทัล ดิสรัปชั่นอย่างรุนแรง
ดร.สุทธาภา อมรวิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซีบี อบาคัส จำกัด กล่าวถึงเทรนด์การแข่งขันในอีก 2-3 ปีข้างหน้าว่าจะมาจากทุกทิศทุกทาง โดยเฉพาะบริษัทข้ามชาติอย่างจีนและสหรัฐอเมริกา ที่มองเห็นโอกาสในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ว่ายังไม่มีใครเป็นเจ้าตลาดดิจิทัลแพลตฟอร์ม และด้วยความที่บริษัทขนาดใหญ่หลายแห่งของจีน และสหรัฐมีศักยภาพในการเข้าถึงข้อมูลลูกค้าก็จะกลายเป็นผู้เล่นที่เข้ามากินตลาดในธุรกิจต่างๆ ของไทย เหมือนอย่างที่ แอมะซอน มี อำนาจทางการตลาดมากพอที่จะไปกินตลาดอื่นๆ
“คู่แข่งที่น่ากลัวคือ คู่แข่งที่เราไม่รู้จักก่อน ดังนั้นองค์กรต่างๆ ควรสร้างศักยภาพความสามารถทางด้านดิจิทัล (Digital Capability) เริ่มจากหาจุดแข็งขององค์กรให้เจอเพื่อตั้งโจทย์ทางธุรกิจถึงสิ่งที่จะเดลิเวอร์ให้กับผู้บริโภค และสร้างคนให้มีจิตวิญญาณของการทดลอง ที่สำคัญต้องหาพันธมิตรผนึกกำลังช่วยกันวางแผนเพื่อที่จะเกิดการก้าวกระโดดทางเทคโนโลยีให้เร็วยิ่งกว่าเดิม และทันกับการแข่งขันที่เปลี่ยนไป”ดร.สุทธาภากล่าว
ด้านนายพีรธน เกษมศรี ณ อยุธยา หัวหน้าคณะผู้บริหาร ด้านคอนเทนต์และมีเดีย บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวแนะนำเทคโนโลยีที่สำคัญในอนาคตว่า องค์กรต้องมีการสะสม บิ๊กดาต้า อย่างเป็นระบบ และเพิ่มข้อมูลที่เป็นทรัพย์สิน ด้วยการจับมือกับพันธมิตร ทางหนึ่งเพื่อสู้กับ บิ๊กดาต้า ของผู้เล่นข้ามชาติที่มีมากกว่า และยังเป็นการใช้ข้อมูลส่งต่อไปให้กับ เอไอ ในการวิเคราะห์
อีกเทรนด์หนึ่ง คือ 5G ที่ทุกบริษัทต้องเข้าใจเพื่อนำมาปรับใช้ในอุตสาหกรรมตัวเอง ซึ่งการให้ความสำคัญใน 3 เทคโนโลยีดังกล่าวจะเป็นหนทางไปสู่ การสร้างประสบการณ์ให้กับผู้บริโภค (Customer Experience) ทั้งในแง่ ฟังก์ชั่น เบเนฟิต และ อีโมชันนอล เบเนฟิต
“องค์กรต่างๆ ให้ตื่นจากวงจรเดิมๆ ในอดีต แล้วทำงานแบบสตาร์ทอัพ และมีความยืดหยุ่น ที่สำคัญต้องสร้างจิตสำนึกในการทำลองทำสิ่งใหม่ๆ อย่างมีจุดหมาย ถ้าไม่ถึงจุดหมายจะทำยังไง จะหยุดหรือหาพาร์ทเนอร์ที่ทำเป็น ซึ่งการหาพาร์ทเนอร์เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่จะสำคัญมากขึ้นในอนาคต นอกจากจะช่วยเสริมในสิ่งที่เราไม่ถนัดแล้ว ยังสามารถร่วมกันสร้างธุรกิจใหม่ได้ด้วย เหมือนอย่างที่เราเห็นการจับมือกันข้ามธุรกิจระหว่างค้าปลีก และเกมมิ่ง หรืออีคอมเมิร์ซกับแฟชั่น กลายเป็นธุรกิจใหม่แห่งโลกอนาคต” ดร. สุทธาภา กล่าวทิ้งท้าย