ถือเป็นปีวิกฤติของมังคุดไทยอีกปีหนึ่ง เมื่อสถานการณ์เศรษฐกิจย่ำแย่ กำลังซื้อผู้บริโภคหดหาย มาเจอกับปีนี้เป็นปีที่ผลผลิตมังคุดออกสู่ตลาดจำนวนมาก จนล้นตลาด ตั้งแต่มังคุดจากภาคตะวันออกในจังหวัดจันทบุรี ระยอง ตราด ออกสู่ตลาดมาก่อนหน้านี้ และช่วงกลางเดือนที่ผ่านมา มังคุดจากภาคใต้ 14-16 จังหวัด เริ่มออกสู่ตลาดมากขึ้น เมื่อผลผลิตล้นตลาด เจอกับกำลังซื้อที่หายไป ส่งผลให้ราคามังคุดร่วงต่ำอย่างหนัก เหลือไม่ถึง 10 บาท ไปจนถึง 15 บาทแล้วแต่เกรดและไซส์ของมังคุด
จากการสำรวจไล่เรียงตั้งแต่ชาวสวนรายหนึ่งในจังหวัดนครศรีธรรมราช ถือว่าเป็นอีกจังหวัดที่มีการปลูกมังคุดจำนวนมาก พบว่า ปีนี้เป็นปีแรกในรอบหลายปี ที่ราคาผลผลิตมังคุดต่ำมากที่สุด เหลือเพียงกิโลกรัมละ 10-15 บาท เมื่อซื้อจากสวน ซึ่งเป็นราคาที่ชาวสวนอยู่ไม่ได้ เมื่อหักค่าใช้จ่ายทั้งค่าปุ๋ย ค่ายา ค่าจ้างเก็บมังคุด ทำให้ปีนี้ขาดทุนแน่นอน
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าราคาจะรูดต่ำลงมาก แต่เป็นการยากที่ชาวสวนมังคุด จะเปลี่ยนไปทำอาชีพอื่น หรือปลูกพืชชนิดอื่น เนื่องจากทำมาตั้งแต่บรรพบุรุษ อีกทั้งมังคุดยังเป็นผลไม้ที่มีอายุยาวนาน สามารถเก็บผลิตได้นานหลายสิบปี จึงลงทุนน้อยกว่าหากเทียบกับการลงทุนปลูกผลไม้ชนิดอื่น เช่น ทุเรียนที่เก็บผลผลิตได้ประมาณ 10 ปีก็ต้องลงทุนปลูกใหม่ ขณะที่มังคุดอยู่ได้นานกว่า และมีปีที่ราคาดีและไม่ดีสลับกันไป แต่ปีนี้ถือว่าหนักมาก
นอกจากชาวสวนจะได้รับผลกระทบก่อนใครแล้ว พ่อค้าแม่ค้าในตลาดขายส่งรายใหญ่อย่าง ตลาดไท ซึ่งถือได้ว่าเป็นตลาดกลางค้าส่งสินค้าเกษตรครบวงจร ใหญ่ที่สุดในอาเซียน ก็ได้รับผลกระทบหนักไม่แพ้กัน
จารุณี บุญชื่น แม่ค้าขายส่งมังคุดรายใหญ่ “เจ้ปุ๋ย 459” ในตลาดไท เล่าให้ฟังว่า ราคามังคุดในปีนี้ ตกต่ำที่สุดตั้งแต่ปี 2549 ที่ราคาร่วงหนักกว่าปีนี้ โดยในปีนั้นราคามังคุดเหลือเพียงกิโลกรัมละ 2.30 – 3 บาทเท่านั้น ส่วนปีนี้ราคาต่ำสุดอยู่ที่ 8 บาท ถึงสูงสุดประมาณ 18-20 บาท และหากเทียบจากปี 2561 ราคาต่ำสุดอยู่ที่ประมาณ 12-13 บาท ทั้งที่ช่วงนี้ถือได้ว่ามังคุดจากภาคใต้เนื้อสวยมาก
ทั้งนี้ มองว่า การที่มังคุดราคาตกต่ำอย่างมากในปีนี้ เป็นผลมาจากผลผลิตออกมามากผิดปกติ จนเกิดภาวะล้นตลาด หรือกล่าวได้ว่า ผลผลิตมากขึ้น 2 เท่าก็ว่าได้ อีกทั้งกำลังซื้อลูกค้าลดลง ทำให้พ่อค้าแม่ค้าที่ซื้อเพื่อขายปลีกขายได้น้อยลง และมาซื้อที่ตลาดขายส่งน้อยตามไปด้วย นอกจากนี้ยังพบว่า พ่อค้าแม่ค้าที่ขายได้น้อยลง เห็นราคามังคุดจากสวนลดลงมาก ทำให้เปลี่ยนจากการซื้อไปขายต่อ เป็นการหันไปซื้อที่สวนเพื่อมาขายส่งแทน หรือเปลี่ยนจากลูกค้าตลาดไทไปเป็นพ่อค้าแม่ค้่าแทน ทำให้ปีนี้ภาพรวมตลาดขายส่งมังคุดถือว่าแย่มาก
“ราคามังคุดช่วงนี้ตกมาก ขนาดเหลือกิโลกรัมละ 12 บาท ยังหาคนซื้อยาก เราเข้าใจว่าชาวสวนก็เดือดร้อน เพราะต้องเสียค้าปุ๋ย ค่าจ้างคนสอย ส่วนพ่อค้าที่ไปรับมาจากสวนก็ลำบากเพราะต้องมีต้นทุนค่าขนส่ง เราก็ซื้อแพงไม่ได้เพราะขายไม่ออก ถ้า 12 บาทขายไม่ได้ก็ต้องลดราคาลงไปอีก จนถึงขายให้รถเร่ที่ไปเร่ขายเหลือ 10 บาทก็ต้องขาย”
จารุณี ยังบอกอีกว่า ยิ่งใน 4 จังหวัดภาคใต้ยิ่งแย่ เพราะอยู่ไกล ค่าขนส่งสูงกว่า เมื่อราคาตก คนซื้อถึงสวนก็จะเลือกซื้อจากสวนที่ใกล้ที่สุดก่อนเพื่อประหยัดค่าขนส่ง ทำให้ไม่ค่อยมีใครลงไปรับซื้อถึง 4 จังหวัดชายแดนใต้ อย่างไรก็ตาม หวังว่า ราคามังคุดจะดีขึ้น เพราะจากที่เป็นอยู่ขณะนี้ ก็ยังมีบางวันที่ขายได้ราคา และจากการขายมังคุดมานานกว่า 10 ปี พบว่า มังคุดจะมีผลผลิตออกมาสลับกัน เช่นปีนี้ล้นตลาด ราคาตก ปีหน้าผลผลิตจะลดลง ทำให้ราคาเพิ่มสูงขึ้น ไม่ใช่แย่ทุกปี
ขณะที่ พิศมัย วงษ์ภมร แม่ค้าร้าน “ทิพย์มงคล” บอกว่า ปีนี้เป็นโอกาสทองของผู้ซื้อมาก เพราะราคามังคุดตกต่ำที่สุดในรอบหลาย 10 ปี เพราะผลผลิตล้นตลาด ราคาจึงตกลงมามาก เหลือแค่ 13 -20 บาทแต่กลับกลายเป็นว่าลูกค้าก็ไม่มีเงินซื้อ เนื่องจากเศรษฐกิจไม่ดี หวังว่าปีหน้ามังคุดจะราคาดีขึ้น
ด้าน อดิศร์ ภัทรประสิทธิ์ ผู้อำนวยการฝ่ายการค้า บริษัท ไทย แอ็กโกร เอ็กซเชนจ์ จำกัด ผู้บริหารจัดการ “ตลาดไท” เปิดเผยว่า ปัจจุบันในตลาดไท มีผู้ค้ามังคุดรวม 95 ราย มีปริมาณมังคุดเข้ามาตลาดประมาณ 500-700 ตันต่อวัน และพบว่า จำนวนผลผลิตที่เข้ามามากขึ้น แต่ผู้ซื้อกลับลดลงจากภาวะเศรษฐกิจ
ดังนั้น ในฐานะเจ้าของพื้นที่ ตลาดไทจึงมีมาตรการช่วยเหลือผู้ค้ามังคุด รวม 3 แนวทาง
1. การหาผู้ซื้อใหม่ ด้วยการขยายช่องทางการกระจายสินค้า โดยกลุ่มผู้ค้ารถเร่ ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ 1,000 กว่าราย ในกลุ่มรถเร่ผัก โดยจะแนะนำให้เพิ่มผลไม้ตามฤดูกาลติดรถ เป็นการเพิ่มโอกาสในการขาย ซึ่งปัจจุบันได้แนะนำมังคุด และลองกอง แล้ว
2. การเพิ่ม Basket size ผู้ซื้อเดิม ด้วยการขยายช่องทางการกระจายสินค้าผ่านกลุ่มผู้ซื้อรายใหญ่รถสิบล้อ ไปยังภูมิภาค
3. ใช้การสื่อสารเพื่อสนับสนุนการบริโภคมังคุดให้มากขึ้น
“ตลาดไทมุ่งตอกย้ำคีย์แมสเซส “คุณภาพดี ราคาถูก” ซึ่งราคามังคุดที่ลดลงในตอนนี้ ถือเป็นโอกาสที่ดีของผู้บริโภค นอกจากนั้น ยังให้ความรู้ผ่านการทำคอนเทนต์เกี่ยวกับการนำมังคุดไปแปรรูปเพิ่มคุณค่าแก่ผลผลิตสามารถเพิ่มช่องทางการค้าได้มากขึ้น โดยใช้สื่อสารในทุกช่องทางทั้งออนไลน์และออฟไลน์”นายอดิศร์ กล่าว