ตลาดหุ้นสหรัฐ เปิดซื้อขายวันนี้ (2 ส.ค.) ปรับตัวลดลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 1 เดือน ท่ามกลางความตึงเครียดทางการค้าระหว่างจีน กับสหรัฐ ที่พุ่งสูงขึ้น และตัวเลขจ้างงานที่ซบเซาในเดือนกรกฎาคม ทำให้เกิดความกังวลว่าเศรษฐกิจจะชะลอการขยายตัวลง ทั้งยังทำให้เกิดกระแสคาดการณ์เพิ่มขึ้นถึงการลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมในปีนี้
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ เคลื่อนไหวล่าสุดลดลง192.87 จุด หรือ 0.73% มาอยู่ที่ 26,390.55 จุด ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ลดลง 24.10 จุด หรือ 0.82% ที่ 2,929.46 จุด และดัชนีแนสแด็ก ลดลง 115.55 จุด หรือ 1.42% ที่ 7,995.57 จุด
เมื่อวานนี้ (2 ส.ค.) ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ ประกาศที่จะขึ้นภาษี 10% ต่อสินค้านำเข้าจากจีนที่เหลืออยู่มูลค่า 300,000 ล้านดอลลาร์ ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายนนี้
ขณะที่จีนโต้กลับในวันนี้ว่าจะไม่ยอมถูกแบล็คเมล์ และเตือนถึงการตอบโต้กลับ สถานการณ์ที่สร้างแรงสั่นสะเทือนให้กับตลาดหุ้นทั่วโลก และนักลงทุนพากันหนีเข้าไปลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความปลอดภัย อย่างพันธบัตรสหรัฐ และเงินเยน
นักวิเคราะห์ชี้ว่า คำขู่ที่จะขึ้นภาษีเหมือนกับน้ำเย็นที่สาดเข้าใส่นักลงทุนให้ตื่นขึ้นมาตระหนักถึงความจริงว่า สงครามการค้ายังคงอยู่ หลังจากที่คุ้นชินกับสถานะการเจรจาการค้าระหว่างจีน กับสหรัฐมาเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว
ตลาดยังมีความเชื่ออยู่ด้วยว่า ถ้าหากสงครามการค้าเพิ่มความรุนแรงมากขึ้น ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ก็อาจจะดำเนินมาตรการด้านนโยบายการเงิน เพื่อรับมือกับเรื่องนี้
นักลงทุนยังตกอยู่ภายใต้แรงกดดัน จากตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร เดือนกรกฎาคมที่เพิ่ม 164,000 ตำแหน่ง ลดลง 41,000 ตำแหน่งจากเมื่อเดือนพฤษภาคม แม้จะสอดคล้องกับที่นักเศรษฐศาสตร์ประเมินกันไว้ก็ตาม
การซื้อขายในวันนี้ หุ้นกลุ่มบริษัทเทคโนโลยี ที่มีสัดส่วนรายได้จากจีนมากสุด โดนเทขายมากสุด โดยร่วงลงโดยรวม 1.88%