“ไทยสมายล์” ติดลบสะสม 8 พันล้านบาท ต้องปรับโครงสร้างทางการเงินครั้งใหญ่ภายในปีนี้ ชงบริษัทแม่ “การบินไทย” เพิ่มทุนสูงสุดไม่เกิน 5 พันล้านบาท ด้าน “ถาวร” กระทุ้งบินไทยให้มีกำไรภายในปี 65
นายถาวร เสนเนียม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยหลังหารือกับบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) และ บริษัท ไทยสมายล์แอร์เวย์ จำกัด ที่กระทรวงคมนาคม วันนี้ (1 ส.ค.) ว่า หลังจากรับฟังแผนดำเนินการของการบินไทยและไทยสมายล์ในวันนี้แล้ว ตนก็รู้สึกพอใจมากและเชื่อใจการดำเนินงานขององค์กรทั้ง 2 แห่งว่าจะประสบความสำเร็จ
ถ้าหากการดำเนินงานมีข้อขัดข้อง หรืออยู่นอกเหนืออำนาจของทั้ง 2 องค์กร ก็ขอให้ตั้งคณะทำงานเพื่อเสนอเรื่องให้ตนช่วยตัดสินใจ ขณะเดียวกันตนจะไม่ทำหน้าที่เหมือนเป็นรัฐมนตรีที่กำกับองค์กรทั้ง 2 แห่ง แต่จะขอเป็นเหมือนเพื่อนร่วมงานกับพนักงานการบินไทยและไทยสมายล์ทุกคน
นายถาวรกล่าวต่อว่า สำหรับการบินไทยได้ใช้กลยุทธ์มนตรา (Montra Project) ตามแผนฟื้นฟู เพื่อพลิกฟื้นองค์กร โดยตั้งเป้าหมายว่าจะทำให้การบินไทยกลับมามีกำไรใน 5 ปีข้างหน้า หรือปีราว 2567 แต่ก็ขอฝากให้การบินไทยเร่งพลิกฟื้นผลประกอบการให้กลับมาเป็นบวกเร็วขึ้น โดยคาดว่าแค่ 3 ปี หรือภายในปี 2565 ก็มีโอกาสพลิกฟื้นแล้ว
นอกจากนี้ การบินไทยมีแผนจะเปิดตัวธุรกิจจำหน่ายสินค้าออนไลน์ (E-Commerce) ในเร็วๆ นี้ ซึ่งตนก็ขอให้การบินไทยพิจารณานำสินค้า OTOP ที่อยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงมหาดไทย (มท.) มาจำหน่ายด้วย เพื่อสร้างรายได้ให้กับทั้ง 2 ฝ่าย ส่วนแผนการจัดหาฝูงบินใหม่ 38 ลำ จำนวน 1.5 แสนล้านบาทนั้น ตนไม่ขัดข้อง ขอให้เสนอมาตามขั้นตอน
ชงแผนจัดหาเครื่องใหม่ต่อ
นายสุเมธ ดำรงชัยธรรม กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ (DD) บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า การบินไทยจะเปิดตัวธุรกิจ E-Commerce เฟสที่ 1 ประมาณเดือนพฤศจิกายน 2562 ซึ่งล่าช้ากว่าเป้าหมายเดิมเล็กน้อย โดยการบินไทยจะรอให้ E-Commerce เฟสที่ 1 นิ่งก่อน จึงนำสินค้า OTOP ไปวางจำหน่ายในเฟสที่ 2 ต่อไป ซึ่งคงไม่เกินเทศกาลสงกรานต์ หรือเดือนเมษายน ปี 2563
ส่วนแผนการจัดหาฝูงบินใหม่ 38 ลำ กรอบวงเงิน 1.5 แสนล้านบาท ที่เสนอให้รัฐบาลชุดเดิมพิจารณาไม่ทันนั้น การบินไทยก็จะนำเรื่องกลับมาเสนอให้กระทรวงคมนาคม สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาตามขั้นตอนอีกครั้ง โดยการบินไทยยังคงเสนอจำนวนเครื่องบินและวงเงินการจัดหาเท่าเดิม
สำหรับไทยสมายล์ ที่เป็นบริษัทลูกนั้น นายสุเมธกล่าวว่า ล่าสุดไทยสมายล์มีอัตราการใช้เครื่องบินอยู่ที่ 9 ชั่วโมง 30 นาที และปลายปี 2562 จะเพิ่มเป็น 10 ชั่วโมง 30 นาที โดยการบินในอัตรานี้จะทำให้ไทยสมายล์หยุดขาดทุนและไทยสมายล์จะบินด้วยอัตรานี้ตลอดปี 2563 จากนั้นไทยสมายล์จะต้องเพิ่มอัตราการใช้เครื่องบินเป็น 12 ชั่วโมง 30 นาทีภายใน 3 ปีข้างหน้า
ไทยสมายล์ต้องเพิ่มทุน
นางชาริตา ลีลายุทธ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยสมายล์แอร์เวย์ จำกัด เปิดเผยว่า ปัจจุบันสายการบินไทยสมายล์ยังมีผลประกอบการติดลบ ล่าสุดตัวเลขขาดทุนสะสมอยู่ที่ 8,000 ล้านบาท และขาดทุนเกินทุนอยู่ที่ 6,000 ล้านบาท ไทยสมายล์จึงต้องดำเนินการปรับโครงสร้างทางการเงินครั้งใหญ่ให้แล้วเสร็จภายในไตรมาสที่ 4 ปีนี้ เพื่อให้บริษัทเป็นไปตามมาตรฐานบัญชีใหม่ IFRS9 ซึ่งจะบังคับใช้ในปี 2563
โดยตามขั้นตอน ไทยสมายล์จะต้องเสนอแผนดำเนินการ 5 ปี ระหว่างปี 2563-2567 และแผนเพิ่มทุนเสนอให้คณะกรรมการ (บอร์ด) ไทยสมายล์เห็นชอบก่อน จากนั้นจึงเสนอแผนให้บอร์ดการบินไทยพิจารณาว่า การบินไทยจะสามารถรับตัวเลขเพิ่มทุนได้เท่าใด
แต่เบื้องต้นประเมินว่าไทยสมายล์ต้องการวงเงินเพิ่มทุนสูงสุดประมาณ 5,000 ล้านบาท ซึ่งวงเงินที่ได้ก็จะนำไปเพิ่มทุนและคืนหนี้ รวมถึงดำเนินการตามแผนมนตรา 2 คล้ายกับการบินไทยที่เป็นบริษัทแม่
“ปีหน้าไทยสมายล์ต้องมีกำไร ไม่อย่างนั้นแผนเพิ่มทุนไม่ผ่าน สำหรับวงเงินเพิ่มทุนยังต้องขอคำนวณก่อน เพราะการบินไทยก็ต้องรับตัวเลขนี้ได้ด้วย ต้องไปด้วยกันได้ ซึ่งเบื้องต้นเราก็อยากเพิ่มทุนมากที่สุดประมาณ 5,000 ล้านบาท” นางชาริตากล่าว
นางชาริตา กล่าวต่อว่า การดำเนินธุรกิจของไทยสมายล์ในขณะนี้มีสถานการณ์ที่ดีขึ้นตามลำดับ เพราะการบินไทยช่วยจำหน่ายบัตรโดยสารอย่างจริงจัง ส่งผลให้ช่วง 6 เดือนแรกของปี 2562 มีกำไรจากการดำเนินงานเล็กน้อย แต่ไม่ถึง 100 ล้านบาท
อัตราการบรรทุกผู้โดยสาร (Cabin Factor) ภายในประเทศเพิ่มขึ้นจาก 60-70% เป็น 80-85% จำนวนผู้โดยสารต่อเดือนเพิ่มขึ้นจาก 3 แสนคนต้นๆ เป็น 3.6 แสนคนในปัจจุบัน อีกทั้งอัตราการใช้เครื่องบินก็สูงขึ้นตามไปด้วย ส่วนในปลายปีนี้ ไทยสมายล์ก็มีแผนจะเปิดเส้นทางใหม่อีก 2 เส้นทาง ได้แก่ กรุงเทพฯ-อาเมดาบัด (อินเดีย) และ เชียงใหม่-เกาสง ไต้หวัน