เมื่อเดือนที่แล้ว “วินฟาสต์” หน่วยงานในเครือ “วินกรุ๊ป” กลุ่มบริษัทเอกชนรายใหญ่สุดของเวียดนาม เปิดตัวรถยนต์ที่ผลิตในเวียดนามเป็นรุ่นแรก โดยกำหนดราคาจำหน่ายไว้ที่คันละ 19,000 ดอลลาร์ ถูกกว่าแบรนด์รถยนต์ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ที่จำหน่ายอยู่ในตลาดท้องถิ่นที่พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว
ผู้ผลิตรถยนต์น้องใหม่รายนี้ ตั้งความหวังถึงการเปิดตัวรถยนต์รุ่นต่างๆ 12 รุ่น รวมถึง รถไฟฟ้า ภายในปี 2563 โดยวางแผนไว้ว่า ในช่วงแรกของการลงทุน 3,500 ล้านดอลลาร์สร้างโรงงานในไฮฟอง เมืองชายทะเลทางตอนเหนือของประเทศนั้น จะผลิตรถยนต์ให้ได้ปีะ 250,000 คัน ก่อนจะเพิ่มกำลังผลิตให้ถึง 500,000 คัน ภายในปี 2568
“เล ถิ ทุ ทุย” ประธานกรรมการบริหารวินฟาสต์ บอกว่า การเคลื่อนไหวดังกล่าวถือเป็นก้าวแรกเข้าสู่อุตสาหกรรมหนัก
“เราจะเริ่มต้นจากตลาดท้องถิ่นก่อน แต่เป้าหมายของเราคือ การทำให้เวียดนามกลายเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ เป็นบริษัทรถยนต์ที่เกี่ยวกับซัพพลายเชน”
เป้าหมายดังกล่าว เหมือนเป็นการท้าทายโดยตรงต่ออุตสาหกรรมรถยนต์ของไทย ที่ได้รับสมญานามมาอย่างยาวนานว่าเป็น “ดีทรอยต์แห่งเอเชีย” และเป็นอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญต่อรายได้จากการส่งออกของประเทศ
ในความเป็นจริงแล้ว ความสามารถในการผลิตรถยนต์ท้องถิ่นของเวียดนามที่เพิ่มขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ก็ได้สร้างความวิตกให้กับทางการไทยเช่นกัน
“ดิฉันคิดว่า เวียดนามได้มาถึงจุดเปลี่ยนของการบริโภครถยนต์แล้ว โดยอัตราการเป็นเจ้าของรถยนต์ในเวียดนามอยู่ในระดับต่ำมาก ราว 20 คัน ต่อประชาชนทุกๆ 1,000 คน ขณะที่ในไทยสูงกว่าถึง 10 เท่า ซึ่งการเพิ่มขึ้นของเจ้าของรถยนต์ในเวียดนามนั้น ก็ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น
เว็บไซต์เอเชีย ไทมส์ รายงานว่า อุตสาหกรรมรถยนต์ของไทย มีเหตุผลที่จะต้องมานั่งกังวลกับเรื่องนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กับสถานการณ์เมื่อเร็วๆ นี้ ที่เวียดนามเพิ่งลงนามในข้อตกลงการค้าเสรี (เอฟทีเอ) กับ 2 เขตเศรษฐกิจขนาดใหญ่ รวมถึง สหภาพยุโรป (อียู) เมื่อวันที่ 30 มิถุนายนที่ผ่านมา และ ข้อตกลงครอบคลุม และก้าวหน้าสำหรับความร่วมมือข้ามมหาสมุทรแปซิฟิก (ซีพีเอทีพีพี) เมื่อปีที่แล้ว ที่ช่วยให้เวียดนามเสียภาษีน้อยลงในการส่งออกไป 11 ประเทศ รวมถึง ออสเตรเลีย แคนาดา ญี่ปุ่น นิวซีแลนด์ และสิงคโปร์
สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้าไทย เตือนว่า การที่ไทยไม่ได้เป็นสมาชิกเอฟทีเอกลุ่มเดียวกับเวียดนาม จึงจำเป็นที่ซัพพลายเออร์รถยนต์ในไทย ต้องเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับเรื่องที่ค่ายรถยนต์ต่างชาติจำนวนมาก จะย้ายฐานลงทุนไปอยู่ในเวียดนาม เพื่อให้ได้รับประโยชน์จากเอฟทีเอ และค่าจ้างแรงงานที่ถูกกว่า
