Politics

อย่าประเจิดประเจ้อ! ‘สมศักดิ์’ เตือน ‘กัญชา’ ยังมีสถานะเป็นยาเสพติด

“รมว.ยุติธรรม” เตือนอย่าประเจิดประเจ้อ! ชี้ “กัญชา” ยังมีสถานะเป็นยาเสพติด ไม่อนุญาตให้ใช้อย่างเสรี ต้องขออนุญาตให้ถูกต้องเท่านั้น

สมศักดิ์ สามมิตร1

นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรี ว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวถึงกรณีกัญชาว่า ประเทศไทยอยู่ภายใต้อนุสัญญาเดี่ยวว่าด้วยยาเสพติดให้โทษ ค.ศ. 1961 แก้ไข้โดยพิธีสาร ค.ศ. 1972 และอนุสัญญาว่าด้วยวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท ค.ศ. 1971 ซึ่งอนุสัญญาทั้ง 2 ฉบับนี้ ยินยอมให้ใช้กัญชาทางการแพทย์หรือวิทยาศาสตร์ได้ แต่รัฐบาลต้องคำนึงถึงความปลอดภัยต่อสุขภาพ และการป้องกันการรั่วไหลไปยังตลาดมืด ซึ่งรัฐบาลต้องมีการข้อกำหนดที่ชัดเจนในการอนุญาตให้ผลิต ปลูก หรือใช้กัญชาทางการแพทย์ที่จะต้องดำเนินการโดยมีระบบใบอนุญาต (Licensing System) เพื่อให้มั่นใจว่าตลาดกัญชาของรัฐนั้นๆ จะไม่เกินความต้องการใช้ทางการแพทย์และทางวิทยาศาสตร์ โดยมีคณะกรรมการการควบคุมยาเสพติดระหว่างประเทศจะเป็นหน่วยงานที่เป็นกลไกกำกับดูแล การปฏิบัติให้เป็นไปตามบทบัญญัติของอนุสัญญาฯ ประเทศภาคีสมาชิกจะต้องรายงานให้ทราบเกี่ยวกับการดำเนินการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด และวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทที่ผิดกฎหมาย

“วันนี้กัญชายังไม่ได้อนุญาตใช้อย่างเสรี โดยจำกัดให้ใช้เพื่อประโยชน์ทางการแพทย์เท่านั้น จึงขอเตือนประชาชนว่าอย่าประเจิดประเจ้อ เพราะกัญชายังมีสถานะเป็นยาเสพติด ผู้ที่ใช้โดยไม่ได้รับอนุญาตมีความผิดตามกฎหมาย ทั้งนี้หากรัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะทำเป็นนโยบายจริงจัง ก็ต้องไปเร่งออกกฎหมาย และออกระเบียบกฎเกณฑ์ว่าจะสามารถใช้หรือปลูกได้อย่างไรบ้าง” นายสมศักดิ์ กล่าว

นายสมศักดิ์ ยังกล่าวอีกว่า การปลูกกัญชานั้นประเด็นสำคัญที่ประชาชนควรรู้ก่อนขออนุญาตปลูกกัญชา คือ จะปลูก “กัญชา” ได้ต้องเป็นผู้มีสิทธิ์ การขออนุญาตปลูกกัญชา จะต้องเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติตามที่กฎหมายกำหนด ได้แก่ หน่วยงานของรัฐที่มีหน้าที่ศึกษาวิจัยหรือจัดการเรียนการสอนทางการแพทย์ เภสัชศาสตร์ วิทยาศาสตร์ หรือเกษตรศาสตร์ หรือมีหน้าที่ให้บริการทางการแพทย์ หรือเภสัชกรรม หรือวิทยาศาสตร์ หรือให้บริการทางเกษตรกรรม เพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ หรือเภสัชกรรม หน่วยงานของรัฐที่มีหน้าที่ในการป้องกัน ปราบปราม และแก้ไขปัญหายาเสพติด หรือสภากาชาดไทย

นอกจากนี้ยังมี สถาบันอุดมศึกษาเอกชน ที่มีการเรียนการสอนและวิจัยทางการแพทย์หรือเภสัชศาสตร์ เกษตรกรที่รวมกลุ่มเป็นวิสาหกิจชุมชน วิสาหกิจเพื่อสังคม หรือสหกรณ์การเกษตร และดำเนินการภายใต้ความร่วมมือ เช่น สหกรณ์การเกษตร วิสาหกิจชุมชนที่อยู่ภายใต้หน่วยงานของรัฐ หรือ หรือสถาบันอุดมศึกษาเอกชน ทั้งนี้ผู้ขออนุญาตอื่นๆ ตามที่กำหนดในกฎกระทรวง ดังนั้นการที่จะปลูก “กัญชา” ได้ต้องได้รับอนุญาต ผู้มีคุณสมบัติตามกฎหมายข้างต้นจะต้องยื่นขออนุญาต โดยในกรุงเทพฯ ยื่นที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ผ่านความเห็นจากคณะกรรมการควบคุมยาเสพติดโทษ เสนอเลขาธิการ อย. เป็นผู้อนุญาต

ในต่างจังหวัดให้ยื่น สาธารณสุขจังหวัด ณ ท้องที่ที่สถานที่ปลูกตั้งอยู่ โดยผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการที่มีผู้ว่าราชการจังหวัด แต่งตั้งหรือมอบหมาย เสนอผ่านความเห็นจากคณะกรรมการควบคุมยาเสพติดให้โทษ เสนอเลขาธิการ อย. เป็นผู้อนุญาต

สำหรับการที่จะได้รับอนุญาตต้องดำเนินการ ยื่นเอกสารขออนุญาต โดยทำเป็นโครงการ ซึ่งต้องสอดคล้องกับวัตถุประสงค์เพื่อการแพทย์หรือเพื่อการศึกษาวิจัย อาทิ ต้องระบุ สถานที่เพาะปลูก ปริมาณการปลูกต้องสอดคล้องกับแผนการผลิต แผนการจำหน่าย และแผนการใช้ประโยชน์ รวมถึงต้องระบุให้เห็นถึงมาตรการรักษาความปลอดภัย เพื่อป้องกันการรั่วไหลของกัญชา รวมทั้งสถานที่ที่ปลูกต้องมีภาพถ่ายและพิกัดสถานที่ทางภูมิศาสตร์ เป็นต้น

อย่างไรก็ตามสำหรับผู้ป่วยที่มีความประสงค์ใช้กัญชาเพื่อรักษาโรค ขณะนี้มีสถานพยาบาลทั่วประเทศที่มียากัญชาที่มีคุณภาพ มาตรฐาน และปลอดภัย ใช้ในทางการแพทย์อย่างเพียงพอ มีการกระจายยาทั่วถึง และเป็นระบบ รวมทั้งมีแพทย์ และเภสัชกรที่ผ่านการอบรม 400 คน และแพทย์แผนไทยผ่านการอบรม 2,900 คน ซึ่งผู้ป่วยจะสามารถเข้าถึงบริการทางการแพทย์ในสถานพยาบาลที่มีมาตรฐานภายใต้การดูแลของแพทย์เพื่อการรักษาที่มีสิทธิภาพสูงสุด

Avatar photo