แบงก์ชาติยังรณรงค์ให้สังคมตระหนักถึงผลกระทบจากปัญหาหนี้ครัวเรือนเพิ่มขึ้นในช่วงหลายปี ที่ผ่านมาอย่างต่อเนื่อง
สัปดาห์ก่อน ดร.วิรไท สันติประภพ ผู้ว่าแบงก์ชาติ ไปบรรยายในงาน National Director Conference 2019 จัดโดย สมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย อัพเดทสถานการณ์หนี้ครัวเรือนว่า อยู่ในระดับ 78.7 % ของจีดีพี
พร้อมกับยกข้อมูลจากงานวิจัยของ สถาบันวิจัยเศรษฐกิจ ป๋วย อึ้งภากรณ์ ขึ้นมาอ้างอิงด้วยว่า ค่ากลางของหนี้ต่อหัวเพิ่มจาก 70,000 บาท ในปี 2553 มาอยู่ที่ 150,000 บาท โดยประมาณในปี 2560 โดยสัดส่วนหนี้ดังกล่าวยังไม่รวม หนี้นอกระบบ หนี้สหกรณ์ออมทรัพย์ หนี้ให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา
การก่อหนี้ของครัวเรือนวันนี้ ไม่ต่างจากการดึงเอารายได้ในอนาคตของตัวเองมาใช้ล่วงหน้า ซึ่งถือเป็นความเสี่ยงอย่างหนึ่ง ไม่ว่าจะก่อหนี้มาก หรือน้อย เพราะเป็นเรื่องอยากคาดเดาว่ารายได้ในวันข้างหน้าจะเป็นไปตามที่คิดหรือไม่
แบงก์ชาติส่งสัญญาณเตือนความเสี่ยง จากการเพิ่มขึ้นของ หนี้ครัวเรือน ต่อเนื่องมาตลอด ช่วงปีที่ผ่านมา ดร.วิรไท ย้ำบนเวทีวิชาการหลายครั้งว่า คนไทย เป็นหนี้เร็วขึ้น นานขึ้น และมากขึ้น
ในการบรรยายครั้งเดียวกันนั้น ผู้ว่าแบงก์ชาติ ระบุว่า ภาคธุรกิจมีส่วนกระตุ้นให้คนบริโภคฟุ่มเฟือยเกินความจำเป็นเช่นกัน โปรโมชั่นยอดนิยมประเภท ดอกเบี้ยต่ำ หรือ 0% ดาวน์ต่ำ ผ่อนนาน ที่ใช้กันตั้งแต่ขายที่อยู่อาศัย ลงมาถึงรองเท้าราคาหลักพัน คงอยู่ในข่ายที่ ดร.วิรไท กล่าวถึง
แบงก์ชาติจับตาการขยายตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์มาหลายปีแล้ว ดร.วิรไท ระบุว่าการแข่งขันในตลาดสินเชื่อ (อสังหาฯ) ทำให้แบงก์ผ่อนปรนเกณฑ์การปล่อยกู้ และการให้สินเชื่อเงินทอน ส่งผลตัวเลขเอ็นพีแอล (หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้) เพิ่มขึ้น
สภาพดังกล่าว หนุนให้เกิดวงจรแห่งความเสี่ยง เพราะไปส่งเสริมให้ผู้บริโภคก่อหนี้เกินความจำเป็นด้วยความเชื่อว่า ราคาบ้านมีแต่สูงขึ้น และสามารถปล่อยให้เช่าได้ ซึ่งไม่เป็นความจริง ส่งผลให้เกิดความต้องการเทียมๆ กระตุ้นให้เกิดโครงการใหม่ๆ และจะนำไปสู่ภาวะฟองสบู่ในระยะยาว ซึ่งจะมีผลข้างเคียงมาก อย่างแรกที่สุดคือ มูลค่าทรัพย์สินในมือลดลง
ดร.วิรไท เรียกร้องให้ธุรกิจอย่ามองแต่ผลกำไรระยะสั้น และมุ่งแสวงหาผลกำไร จนเกิดผลกระทบข้างเคียงกับสังคม เชื่อว่าส่วนใหญ่เห็นพ้องกับถ้อยแถลงนั้น อย่างน้อยก็ในหลักการแต่ในทางปฏิบัติผู้ประกอบการส่วนใหญ่ คงมุ่งแสวงหากำไรสูงสุดกันต่อไป
ดูจากที่ผ่านมาขนาด แบงก์ชาติพยายามสกัดสินเชื่อที่กระตุ้นการบริโภคเกินความพอดี ไม่ว่า คุมสินเชื่อที่อยู่อาศัย บัตรเครดิต หรือสินเชื่อจำนำรถยนต์ แต่ทิศทางหนี้ครัวเรือนคงเป็นขาขึ้นเช่นเดิม
สาเหตุหนึ่งที่สถานการณ์หนี้ครัวเรือน ยังไม่เปลี่ยนแปลง นอกจากการแข่งขันของภาคธุรกิจจนลืมความเสี่ยงแล้ว การมองต่างมุม ระหว่าง สำนักงานคณะกรรมการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และกระทรวงการคลังกับแบงก์ชาติ ต่อสถานการณ์หนี้ครัวเรือน นับเป็นปัจจัยที่มีส่วนสำคัญอย่างยิ่ง
ที่ผ่านมา กระทรวงการคลังยืนยันตลอดมาว่า สถานการณ์ไม่มีอะไรน่ากังวล พร้อมยกเหตุผลสนับสนุน อาทิ หนี้ครัวเรือน ที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่ เป็นหนี้ ที่มีหลักประกัน เช่น อสังหาฯ สัดส่วนหนี้ครัวเรือนลดลงแล้วเมื่อเทียบกับช่วงก่อนหน้า หรือ สัดส่วนหนี้ต่ำกว่าต่างชาติ เป็นต้น
อุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ชี้แจงระหว่างรัฐบาลแถลงนโยบายต่อรัฐสภา เมื่อสัปดาห์ก่อน ยกเหตุผลเรื่องหลักประกันคุ้มมูลหนี้ ขึ้นมาอ้างเช่นกันว่า หนี้ครัวเรือนส่วนใหญ่มาจากการซื้อบ้าน ซื้อรถยนต์ มีหลักประกัน ไม่มีความเสี่ยง นัยหนึ่งคือ ยังไม่น่ากังวล
ดูท่าที รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กับผู้ว่าแบงก์ชาติ แล้วประเมิน สถานการณ์หนี้ครัวเรือน ในช่วงถัดไปได้เลยว่าจะไปทางไหน