ไบเออร์สด๊อรฟ ขยายส่วนการผลิตของโรงงานในประเทศไทย รองรับการเติบโตของตลาดในภูมิภาค รองรับการผลิตผลิตภัณฑ์ประเภท ดีโอ โรลออน มูลค่าลงทุนโครงการไพลินรวมเกือบ 3,000 ล้านบาท
นายสเตฟาน เดอ ล็อคเกอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทไบเออร์สด๊อรฟ เยอรมนี บริษัทชั้นนำผู้ผลิตแบรนด์ดังระดับโลกอย่าง นีเวีย ยูเซอริน ลา แพรรี และฮันซาพลาส เปิดเผยว่า ได้เปิดอาคารส่วนใหม่ของโรงงานในนิคมอุตสาหกรรมบางพลี ซึ่งได้เริ่มก่อสร้างเมื่อต้นปี 2561 ที่ผ่านมา โดยเป็นส่วนหนึ่งของการลงทุนภาคใหญ่ของแผนพัฒนาศูนย์การผลิตในประเทศไทย หรือ โปรเจคไพลิน ด้วยเงินลงทุนมากถึง 67 ล้านยูโร หรือเกือบ 3,000 ล้านบาท
สำหรับการลงทุนในครั้งนี้จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพกำลังการผลิตได้มากถึง 50% โดยอาคารใหม่ตั้งอยู่บนพื้นที่ขนาด 9,000 ตารางเมตรที่เต็มไปด้วยเครื่องมือการผลิตที่ทันสมัยเพื่อรองรับการผลิตผลิตภัณฑ์ดูแลผิวได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
โรงงานแห่งนี้ ยังเป็นจุดส่งออกหลักของผลิตภัณฑ์เวชสำอางดูแลผิวในเครือบริษัท ไบเออร์สด๊อรฟ ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มาตั้งแต่ปี 2525 โดยโรงงานในส่วนที่สร้างเพิ่มเติมภายใต้โปรเจค ไพลิน ถูกออกแบบมาให้ดูทันสมัยมากขึ้นและยังเชื่อมต่อกับอาคารการผลิตเดิม โดยคาดว่าจะเปิดเต็มพื้นที่เพื่อใช้สำหรับผลิตเวชสำอางและผลิตภัณฑ์ดูแลผิวภายในปี 2564
“ด้วยกำลังการผลิตที่มากขึ้นจึงส่งผลให้สามารถขยายการส่งออกได้มากขึ้น ทำให้ศูนย์การผลิตแห่งใหม่ในบางพลีนี้กลายเป็นจุดส่งออกที่สำคัญของเครือข่ายไบเออร์สด๊อรฟยิ่งขึ้นในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้”นายล็อคเกอร์กล่าว
นอกจากนี้ ยังเป็นการดำเนินงานต่อเนื่อง ภายใต้เป้าหมายโดยรวมของกลยุทธ์ใหม่ของไบเออร์สด๊อรฟอย่าง C.A.R.E.+ ที่หมายถึง การโตเหนือตลาด สร้างคุณค่าที่ลูกค้าจะได้รับ เพื่อสามารถมั่นใจได้ว่าจะมีผลกำไรเติบโตอย่างยั่งยืน
ขณะที่ โปรเจค ไพลิน แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของบริษัทในการเติบโตอย่างยั่งยืน สะท้อนได้จากสิ่งอำนวยความสะดวกใหม่ๆ ที่ทันสมัย อย่างแผงโซล่าเซลล์บนเพดานของอาคารที่สามารถผลิตกระแสไฟได้มากถึง 500 กิโลวัตต์ การใช้วัสดุก่อสร้างที่เปล่งแสงต่ำและเครื่องจักรที่มีประสิทธิภาพสูงจึงสามารถช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ ทั้งยังเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
สำหรับโรงงานแห่งนี้ จะผลิตผลิตภัณฑ์ทั้งหมดของ นีเวีย และยูเซอริน หรือศูนย์การผลิตบางพลี และในส่วนของอาคารสำนักงาน มีพนักงานทำงานอยู่มากกว่า 800 ราย โดย 40% ของปริมาณการผลิตทั้งหมดจำหน่ายในประเทศไทย ส่วนที่เหลือได้ทำการส่งออกไปยังมากกว่า 40 ประเทศทั่วโลก โดยตลาดหลักๆ ได้แก่ ฟิลิปปินส์ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ อินเดีย มาเลเซีย และเวียดนาม ซึ่งจากตัวเลขข้างต้นแสดงให้เห็นถึงการเติบโตแบบมีนัยสำคัญในภูมิภาคนี้
