มหาอำนาจ ‘จีน-ญี่ปุ่น’ ลงสมรภูมิรบด้านการลงทุนในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงเต็่มตัว แข่งอัดงบช่วยเหลือโครงสร้างพื้นฐาน เจโทร ชี้กลยุทธ์ไทย “เหยียบเรือสองแคม” เปิดประตูรับทั้งจีนญี่ปุ่น ผ่านอีอีซี
“Asia on the Rise?” หัวข้อสำคัญใน การประชุมวิชาการนานาชาติในระดับภาคพื้นเอเชีย-แปซิฟิค (AAS-in-ASIA) เมื่อ เร็วๆนี้ จัดโดย มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และสมาคมเอเชียศึกษา (Association for Asian Studies : AAS) มีนักวิชาการชั้นนำร่วมกันเสนองานวิจัยและมุมมองต่อบทบาท 2 มหาอำนาจแห่งเอเชีย จีนและญี่ปุ่นบนเวที “ บทบาทที่เพิ่มขึ้นของอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงในเอเชียตะวันออกและภูมิภาคอาเซียน : ร่วมมือหรือแข่งขัน? ”
ศ.ไรอัน ฮาร์ทเลย์ แห่งมหาวิทยาลัยโทโฮกุ ประเทศญี่ปุ่น มองบทบาทของรัฐบาลญี่ปุ่นในการเข้าไปลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานใน ‘เมียนมา’ มานานหลายทศวรรษ โดยเฉพาะรูปของเงินทุนความช่วยเหลือเพื่อการพัฒนา (Official Development Assistance : ODA)
“ญี่ปุ่นมุ่งมั่นแข็งขันที่จะปฏิรูปเมียนมาโดยให้เงินช่วยเหลือ เข้าไปลงทุน แม้กระทั่งช่วยกำหนดนโยบาย เพราะเมียนมาคือโอกาสใหม่ที่สำคัญที่สุดในอาเซียน ”
นับตั้งแต่ปี 2554 ปีแรกของการปฏิรูปการเมืองในเมียนมา ญี่ปุ่นได้เพิ่มเงินช่วยเหลือ และยกหนี้เงินกู้ให้ มีการส่งผู้เชี่ยวชาญให้คำปรึกษาเชิงนโยบาย และสร้างเครือข่ายข้ามองค์กรในหลายระดับ ตลอดจนนำเงินเข้ามาลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน และพัฒนาเขตอุตสาหกรรม ที่เห็นชัดคือ เขตเศรษฐกิจพิเศษติลาวา (Thilawa) ซึ่งญี่ปุ่นหวังจะให้เป็นประตูเชื่อมโยงสู่มหาสมุทรอินเดีย ถือเป็นกิจการชิ้นแรกที่เห็นผลสำเร็จอย่างเด่นชัดที่สุด
ความช่วยเหลือและการลงทุนทางตรง (FDI) จากญี่ปุ่น จะหลั่งไหลเข้าสู่เมียนมาต่อไป ตราบใดที่เชื่อกันว่าเมียนมา ” เอาจริงเอาจังในการปฏิรูปประเทศ ” เพื่อพัฒนาไปสู่ความเป็นประชาธิปไตย และเสรีนิยม กระนั้นในปีหลังๆ ญี่ปุ่นพบว่าเมียนมาดำเนินการปฏิรูปไปอย่างเชื่องช้า รู้สึกไม่เป็นที่น่าพอใจ เม็ดเงินลงทุนจากญี่ปุ่น จึงหดตัวลดลง
ศ.ไรอัน มองว่า ในทศวรรษนี้ญี่ปุ่น มีโจทย์ใหม่ที่ท้าทาย ก็คือการต้องแข่งขัน ตัดทอน อิทธิพลกับจีน ที่กำลังขยายบทบาททางเศรษฐกิจ และการเมืองอย่างรวดเร็วมายัง อนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (GMS) และนี่คือโจทย์ที่นักวิชาการ ที่ร่วมเวทีเสวนาชวนให้หาคำตอบเช่นกัน
“การผงาดขึ้นของจีน บั่นทอนความมั่นใจของญี่ปุ่น ส่งผลกระทบต่อบทบาทของตนเองในภูมิภาคนี้” มุมมองจาก มากิ โอกาเบะ จากสถาบันเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจภายใต้องค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (JETRO)
มากิ เล่าต่อว่า การผงาดขึ้นมาของจีน บั่นทอนความเชื่อมั่นของญี่ปุ่นในการรักษาสถานะผู้เล่นสำคัญในภูมิภาค คำถามคือญี่ปุ่นกำลังแข่งขันกับจีนอยู่หรือไม่ และหากใช่ประเทศไทยจะวางตัวอย่างไรกับการแข่งขันดังกล่าว
สถิติทางการค้า และการลงทุนของจีน ในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง ปรากฎว่า เติบโตอย่างต่อเนื่องในรอบหลายปี ปริมาณการค้าอยู่ในระดับแซงหน้าญี่ปุ่นไปแล้ว ขณะที่เม็ดเงินลงทุนเพิ่มสูงขึ้นอย่างน่ากลัว แม้แต่ประเทศไทยที่เคยเป็นฐานการผลิตของบริษัทญี่ปุ่นมายาวนาน ก็ได้แสดงความกระตือรือร้นดึงนักลงทุนจีนเข้ามาช่วยพัฒนา เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) และนี่เป็นยุทธศาสตร์ “ เหยียบเรือสองแคม ” ที่ไทยให้น้ำหนักต่อทั้งจีน และญี่ปุ่นในระดับที่เท่าเทียมกัน เห็นได้จากเดือนสิงหาคม 2561 รัฐบาลไทยเชิญนักลงทุนทั้งจากจีน และญี่ปุ่นเข้ามาดูงานและแสดงศักยภาพในอีอีซี
มากิ บอกว่า ญี่ปุ่นดูเหมือนจะยอมรับความจริงว่า ศักยภาพและอิทธิพลของจีน ทรงพลังเกินกว่าที่ญี่ปุ่นจะไปต่อต้าน หรือแข่งขัน จึงเป็นที่มาของการทบทวนยุทธศาสตร์ครั้งใหม่ของญี่ปุ่น มุ่งแสวงหาความร่วมมือกับจีนแทนที่จะแข่งขัน เราจึงเห็นโครงการความร่วมมือใหม่ ภายใต้ชื่อ “China and Japan’s Business Cooperation in Third Countries” ที่เริ่มขับเคลื่อนที่อีอีซี เป็นแห่งแรก และมีแนวโน้มจะขยายผลไปยังโครงการอื่นๆ ในภูมิภาคต่อไป
สำหรับมุมมองของนักวิชาการของไทยในเรื่องนี้ นายนรุตม์ เจริญศรี อาจารย์ประจำภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ และรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ สะท้อนว่า การแข่งขันระหว่างจีนกับญี่ปุ่น จะยังไม่หมดไปตราบใดที่ภูมิภาคนี้ ยังมีผลประโยชน์อันอุดมสมบูรณ์ให้แก่ทั้งสองประเทศ
โดยการช่วงชิงการพัฒนาท่าเรือน้ำลึก คือพื้นที่แห่งการแข่งขันที่เห็นได้ชัด ญี่ปุ่นมีโอกาสใช้ประโยชน์จากท่าเรือดานังของเวียดนาม และท่าเรือในเขตอีอีซีของไทยได้มากกว่า ทำให้จีนต้องมองหาแหล่งพัฒนาแห่งใหม่ และกัมพูชา คือตัวแปรสำคัญที่จีนต้องการเข้ามามีส่วนร่วมพัฒนาท่าเรือ โดยเฉพาะในพื้นที่ “เมืองสีหนุวิลล์ ” ซึ่งจีนหวังจะขยายภาคการผลิตและส่งออก
“ถ้าจีนมี Belt and Road ญี่ปุ่นก็มี Free and Open Indo-Pacific Initiative” นายนรุตม์ มองว่าการแข่งขันยังดำเนินไปอย่างเข้มข้นในเขตตะวันตกของเมียนมาติดกับมหาสมุทรอินเดีย ซึ่งทั้งสองประเทศต่างกำลังลงทุนพัฒนาท่าเรือ และนิคมอุตสาหกรรมริมชายฝั่งอย่างแข็งขัน เพื่อสร้างความเชื่อมโยง (connectivity) ไปสู่เอเชียใต้ต่อไป
ศ.เดวิด เบลค จากมหาวิทยาลัยยอร์ค ประเทศอังกฤษ นำเสนอข้อมูลสอดคล้องกับมุมมองของอาจารย์ นรุตม์ ในแง่ของการแข่งขันสร้างอิทธิพล ด้วยการให้เงินอุดหนุน และลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน โดยพื้นที่การแข่งขันที่สำคัญคือ “เขื่อน” และโครงการพัฒนาทรัพยากรน้ำในประเทศลาว ได้รับเงินช่วยเหลือจากทั้งจีน และญี่ปุ่นในจำนวนมหาศาล
“ญี่ปุ่นเป็นผู้ให้เงิน และส่งผู้เชี่ยวชาญมาพัฒนาภาคส่วนพลังงานน้ำของลาวมายาวนาน ก่อนจะชะลอตัวลงไปเมื่อไม่นานมานี้ หลังการเข้ามาของเงินทุน และความช่วยเหลือจากจีน ที่เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด”
ในภาพรวม การเติบโตของเศรษฐกิจ ความเปลี่ยนแปลงทางการเมือง และนโยบายเปิดเสรีของประเทศในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง เชื่อมโยงกับระบบเศรษฐกิจโลกเพิ่มมากขึ้น ปัจจัยเร่งเร้าให้สองขั้วมหาอำนาจอย่างจีนและญี่ปุ่น ต้องปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์ให้สอดรับกับบริบทความเป็นจริงอยู่ตลอดเวลา เห็นได้จากวิสัยทัศน์ที่จีนขับเคลื่อนนโยบาย หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง อย่างต่อเนื่อง ญี่ปุ่นได้ประกาศ Free and Open Indo-Pacific Initiative หวังจะทัดทานการขยายตัวของพญามังกรในภูมิภาค
ไม่ว่าจีนหรือญี่ปุ่นจะเป็น ‘หัวขบวน’ ในการพัฒนา ประเทศไทย ยังสามารถแสวงหาผลประโยชน์จากนโยบายนี้ได้ในทุกทาง เห็นได้จากการพัฒนาอีอีซีก็มีทั้งจีน และญี่ปุ่นมาแสดงบทบาทการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมาย และการพัฒนาเส้นทางรถไฟความเร็วสูง ซึ่งเปิดโอกาสให้ทั้งสองชาติเข้ามามีบทบาท อาจบอกได้ว่า ภูมิรัฐศาสตร์ของไทยยังคงเป็นศูนย์กลาง และประตูสู่อนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงได้อย่างมีนัยสำคัญต่อไป