ยังคงเป็นปัญหาหนักหน่วงสำหรับผู้ประกอบการทีวีดิจิทัล ที่ได้รับผลกระทบรอบด้าน ทั้งเม็ดเงินโฆษณาที่ลดลง พฤติกรรมคนเปลี่ยนจากการดิสรัปของเทคโนโลยี ทำให้เกิดอาการ จอดำ ไปแล้วหลายช่อง และก่อคดีฟ้องร้องตามมาอีกเพียบ โดยรายล่าสุดคือ ช่อง 3 ที่แจ้งเลิกจ้างพนักงานจำนวนมาก
ทั้งนี้ แม้ว่า เลขาธิการ กสทช. จะมีมาตรการเยียวยา 7 ช่องทีวีดิจิทัล ที่ขอคืนใบอนุญาต ด้วยจำนวนเงินชดเชยรวม 2,932.68 ล้านบาท ได้แก่ ช่อง 19 หรือ ช่อง Spring News จะออกอากาศวันสุดท้ายในวันที่ 15 ส.ค. จำนวนเงินค่าชดเชยกว่า 500 ล้านบาท ช่อง 26 หรือ ช่อง NOW คงเหลือเงินค่าชดเชย 675 ล้านบาท และไบรท์ทีวี ช่อง 20 ออกอากาศวันสุดท้ายในวันที่ 15 ส.ค. คงเหลือเงินค่าชดเชยสุทธิจำนวน 371 ล้านบาท
ตามด้วยวอยซ์ ทีวี ช่อง 21 จะออกอากาศวันสุดท้ายในวันที่ 31 ส.ค. คงเหลือเงินค่าชดเชย 378 ล้านบาท, ช่อง 14 หรือช่อง MCOT Family จะออกอากาศวันสุดท้ายในวันที่ 15 ก.ย. คงเหลือเงินค่าชดเชย 163 ล้านบาท ขณะที่ช่อง 28 หรือ ช่อง 3SD จะออกอากาศวันสุดท้ายในวันที่ 30 ก.ย. คงเหลือเงินค่าชดเชย 680 ล้านบาท และ ช่อง 13 หรือ ช่อง 3 Family จะออกอากาศวันสุดท้ายในวันที่ 30 ก.ย. คงเหลือเงินค่าชดเชย 162 ล้านบาท
ขณะที่แผนการเลิกจ้างพนักงานของแต่ละช่องนั้น ได้รับการยืนยันว่า ดำเนินการตามหลักเกณฑ์ของกฎหมาย โดยมีการจ่ายชดเชยตามอายุงานตามกฏหมายกำหนด
ในส่วนของช่อง 3 นั้น จากจำนวนทีวีดิจิทัล 2 ช่อง ที่ต้องปิดตัวลง รวมได้รับเงินชดเชย 842 ล้านบาท แบ่งเป็น ช่อง 28 หรือ ช่อง 3SD 680 ล้านบาท และ ช่อง 13 หรือ ช่อง 3 Family 162 ล้านบาท และล่าสุด ผู้บริหารช่อง 3 ได้ส่งหนังสือแจ้งเลิกจ้างถึงพนักงานรวมประมาณ 200 คน
ทีมข่าวช่อง 3 รายหนึ่งเล่าว่า หลังจากทะยอยแจ้งเลิกจ้าง ปัจจุบันในส่วนของทีมข่าวเหลือคนทำงานน้อยมากหรือโต๊ะข่าวละ 2-4 คนจากเดิมหลัก 10 คนขึ้นไป เช่น โต๊ะข่าวต่างประเทศเหลือ 2 คน กีฬา 2 คน ภูมิภาค 2 คนและโต๊ะข่าวเศรษฐกิจ 4 คน เป็นต้น พร้อมทั้งยังไม่มั่นใจว่าการเลิกจ้างพนักงานรอบนี้ จะเพียงพอหรือจะมีรอบใหม่อีก
อย่างไรก็ตาม ในรอบนี้ ช่อง 3 จ่ายเงินชดเชยเลิกจ้างตามกฏหมายแรงงานและเพิ่มเติมค่าตกใจอีก 1 เดือน เช่น อายุงาน 1 ปีได้ 3 เดือน อายุงาน 1-3 ปีได้ 6 เดือน, และจ่ายสูงสุดอยู่ที่ 20-21 เดือนสำหรับอายุงาน 20 ปีขึ้นไป
ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาผลประกอบการของช่อง 3 ในรอบ 5 ปีที่ผ่านมาพบว่า รายได้ลดลงต่อเนื่อง โดยในปี 2557 เป็นปีแรกที่ผลประกอบการติดลบ จากรายได้ 16,696.99 ล้านบาทในปี 2556 ลดลงเหลือ 16,381.51 ล้านบาทในปี 2557 และล่าสุดปี 2561 รายได้ลดลงเหลือเพียง 10,504.09 ล้านบาท ลดลง 6.43% จากปี 2560 ที่มีรายได้ 11,226.06 ล้านบาท
ขณะที่ก่อนหน้านี้ นายอริยะ พนมยงค์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท บีอีซี เวิลด์ จำกัด มหาชน ได้แจ้งกับพนักงานว่า จำเป็นต้องเลิกจ้างอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เนื่องจากปริมาณคนมากกว่าปริมาณงาน และการตัดสินใจคืนใบอนุญาตเป็นการตัดสินใจที่ยากที่สุดของคณะกรรมการและผู้บริหาร เพราะส่งผลกระทบมากมายโดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อเพื่อนพนักงาน พร้อมทั้งยืนยันว่าได้จัดให้มีค่าชดเชยสำหรับพนักงานให้มากที่สุดเท่าที่จะจัดสรรได้ และจะดีกว่าที่กฎหมายแรงงานกำหนดไว้
พิษทีวีดิจิทัลครั้งนี้ สะท้อนชัดเจนถึงความผิดพลาดด้านนโยบายและการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และส่วนหนึ่งเป็นผลจากการถูกดิสรัปจากเทคโนโลยีซึ่งเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ การปรับตัวอย่างเร็วและเร่งด่วน จึงเป็นเรื่องสำคัญที่สุด สำหรับทีวีดิจิทัลยุคนี้
