Sport

ทวงคืนความยิ่งใหญ่! ส่องปัจจัย ‘หงส์’ จี้ติด ‘ผี’ เรื่องการเงิน

จากความสำเร็จของแมนฯ ยูไนเต็ดในยุคเซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ที่กินเวลายาวนานกว่า 3 ทศวรรษทำให้ “ปีศาจแดง” กลายเป็นทีมที่มีมูลค่าการเงินดีที่สุดในอังกฤษจากผลประกอบการของสโมสร แต่หลังจาก “เฟอร์กี้” วางมือผลงานของทีมตกต่ำเรื่อยๆทำให้มูลค่าตกตามไปเช่นกัน

1562569727207
ภาพจาก : www.liverpoolfc.com

ขณะที่ฝั่งลิเวอร์พูล คู่อริตลอดการกำลังกลับมาทวงความยิ่งใหญ่กับการเข้ามาของ เจอร์เก้น คล็อปป์ กุนซือเยอรมันเขาพาทีมยึดท็อฟโฟร์ได้ต่อเนื่องแถมได้เข้าชิงแชมป์ยุโรป 2 ปีติดทำให้ตอนนี้ “หงส์แดง” กำลังจะก้าวขึ้นไปทาบ”ผีแดง” ในเรื่องการนเงินได้แล้ว

ตลอดช่วงหลายปีก่อนหน้านี้ ลิเวอร์พูล มีสภาพการเงินเป็นรอง แมนฯ ยูไนเต็ด มากพอสมควร โดยขนาดในฤดูกาล 2017-18 ทีมของกุนซือ เจอร์เก้น คล็อปป์ ทำผลประกอบการได้สูงเป็นสถิติสโมสร 455.1 ล้านปอนด์ (ประมาณ 18,655 ล้านบาท) พวกเขายังมีผลประกอบการน้อยกว่า “ปีศาจแดง” ถึง 135 ล้านปอนด์ (ประมาณ 5,535 ล้านบาท) เลยทีเดียว

คีแรน แม็คไกวร์ ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับการเงินของวงการฟุตบอล แสดงความเชื่อว่า ลิเวอร์พูล จะลดช่องว่างด้านการเงินจาก แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คู่อริร่วมลีกได้เยอะ หลังจากที่ “หงส์แดง” ทำผลงานได้ยอดเยี่ยมอย่างต่อเนื่อง

“ผมคิดว่าลิเวอร์พูล จะลดช่องว่างลงมาได้ ถ้าคุณลองย้อนดูในปี 2018 ลิเวอร์พูล มีผลประกอบการน้อยกว่า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 135 ล้านปอนด์ และนั่นเป็นช่องว่างที่เยอะพอสมควร แต่ความสำเร็จที่ ลิเวอร์พูล ทำได้ในฤดูกาลนี้น่าจะช่วยลดช่องว่างนั้นได้ราว 40-50 ล้านปอนด์ (ประมาณ 1,640-2,050 ล้านบาท) แถมพวกเขายังจะได้รับโบนัสจาก สแตนดาร์ด ชาเตอร์ด กับ เวสเทิร์น ยูเนี่ยน สปอนเซอร์หลักบนชุดแข่งของพวกเขาด้วย ซึ่งนั่นจะช่วยลดช่องว่างระหว่างทั้งสองทีมได้เช่นกัน”

โดยปัจจัยหลักๆที่ทำให้ลิเวอร์พูลขยับเข้าใกล้ไนเต็ดได้มากที่สุดมาจากรายได้ในวันที่มีเกมการแข่งขัน การที่พวกเขาไปถึงรอบชิงชนะเลิศของ แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้สองปีติดทำให้ ลิเวอร์พูล ได้ลงเล่นในบ้านของตัวเองเยอะกว่า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ดังนั้นพวกเขาก็จะเก็บค่าตั๋วได้มากขึ้น แถมพวกเขายังสามารถเพิ่มราคาได้ด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรอบน็อกเอาต์จะมีส่วนช่วยได้เป็นอย่างดี

ส่วนอีกหนึ่งปัจจัยที่จะลดช่องว่างระหว่างทั้งสองทีมได้คือรายได้ด้านการโฆษณา โดยที่ผ่านมาแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เป็นหนึ่งในทีมที่ดำเนินการด้านนี้ได้ฉลาดที่สุดมาโดยตลอด โดยพวกเขามักจะไปเจรจากับตัวแทนในประเทศอื่นๆ พร้อมบอกว่า -เราอยากเป็นพันธมิตรด้านโทรศัพท์มือถือในประเทศไทย, อินโดนีเซีย และญี่ปุ่น- ซึ่งที่จริง ลิเวอร์พูล เริ่มทำแบบนั้นบ้าง แต่เงื่อนไขที่ ลิเวอร์พูล เสนอได้มากกว่า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็คือการที่พวกเขาสามารถบอกได้ว่า -จะว่าไปแล้ว คุณอยากถ่ายภาพกับถ้วยแชมป์ แชมเปี้ยนส์ ลีก ในฤดูกาลนี้ด้วยไหม นั่นจะเป็นเงื่อนไขที่น่าสนใจมากๆ

นอกจากนี้ยังมีอีกจุดคือเรื่องค่าตัวและค่าเหนื่อยนักเตะโดย “หงส์แดง” ไม่ต้องแบกรับภาระเรื่องค่าตัวของนักเตะที่แพงแสนแพง

1562569717171
ภาพจาก : @manchesterunited

การที่แบรนด์แมนฯ ยูไนเต็ดติดตลาดทั่งโลกทำให้พวกเขาต้องเจอวิบากกรรมในการซื้อนักเตะกว่าจะได้ใครมาร่วมทีมสักคนจะโดนโขกเลือดซิบตลอดล่าสุดนักเตะอย่าง อารอน วาน-บิสซาก้า แบ็กขวาวัย 21 ปีที่เพิ่งเล่นลีกสูงสุดได้แค่ปีเดียวกลับมาค่าตัวถึง 50 ล้านปอนด์ ขณะที่ค่าเหนื่อยรับที่ 80,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์

ไม่รวมนักเตะที่กำลังจะหมดสัญญาและเล่นแง่เรียกค่าเหนื่อยเพิ่มอย่างมาคุส แรชฟอร์ม มีข่าวว่าต้อสัญญาไปแล้วกับค่าเหนือนใหม่ 3 แสนปอนด์ หรือ ดาบิด เด เคอา ผู้รักษาประตูที่กำลังจะรับค่าเหนื่อย 350,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์

ขณะที่การขายนักเตะเมื่อซื้อมาแพงพอขายออกย่อมเจอเรื่องขาดทุนอย่างเช่นปอล ป็อกบา ที่ไปทุ่มซื้อมา 89 ล้านปอนด์ตอนนี้งอแงจะย้ายทีมพวกเขาย่อมต้องการกำไรหลังเคยเสียฟรีมาแล้วรอบหนึ่งแต่ราคา 150 ล้านปอนด์ (ราว 5,850 ล้านบาท) แทบไม่มีทีมไหนสู้เลย

หรือจะเป็น โรเมลู ลูกากู กองหน้าเบลเยียมแม้เจ้าตัวไม่ได้เรียกร้องขอย้ายแต่การที่ผลงานไม่เข้าตาทำให้ผีแดงอยากปล่อยออกแต่การปักป้ายขาย 75 ล้านปอนด์ราคาทุนที่ซื้อมาจากเอฟเวอร์ตันก็ยังเป็นราคาที่สูงจนทีมที่อยากได้อย่างอินเตอร์ มิลาน ยังต่อรองขอลดไม่จบไม่สิ้น

ย้อนไปดูลิเวอร์พูลแม้ปี 2018 ซื้อ เฟอร์กิล ฟาน ไดค์ 70.9 ล้านปอนด์, โมฮาเหม็ด ซาลาห์ 37.8 ล้านปอนด์, อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน 34.2 ล้านปอนด์, แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน 8.1 ล้านปอนด์ และ โทนี่ กัลลาเชอร์ 200,000 ปอนด์ ทั้งหมดนี้รวมกัน 151.2 ล้านปอนด์

1562569723630
ภาพจาก : www.liverpoolfc.com

แต่พวกเขาถอนทุนคืนจากการขายนักเตะเช่นกันอาทิ ฟิลิปเป้ คูตินโญ่ 121.5 ล้านปอนด์, มามาดู ซาโก้ 25.4 ล้านปอนด์, ค่ายืม ดิว็อค โอริกี 5.9 ล้านปอนด์, ลูคัส เลว่า 5.1 ล้านปอนด์, เควิน สจ๊วร์ต 4.1 ล้านปอนด์, อันเดร วิสดอม 2.1 ล้านปอนด์ และ ค่ายืม แดเนี่ยล สเตอร์ริดจ์ 2.1 ล้านปอนด์ ซึ่งรวมกันได้ 166.1 ล้านปอนด์

นั่นหมายความว่าลิเวอร์พูลมีเงินเหลือสุทธิจากตลาดซื้อ-ขายในรอบปีที่แล้ว 14.9 ล้านปอนด์

มาซีซั่นนี้ศักยภาพทีมของ”หงส์แดง” ลงตัวอยู่แล้วพวกเขาจึงไม่จำเป็นต้องทุ่มซื้อแข้งดังมาเสริมทัพอีกแล้ว ตลาดซัมเมอร์นี้จึงเป็นเรื่องเสริมเพื่ออนาคตมากกว่า

นอกจากเรื่องซื้อขายนักเตะแล้วยังมีเรื่องการลงเล่นบอลยุโรปซึ่งหลังจากป๋าเฟอร์กี้วางมือแมนยูไปได้ไกลสุดแค่รอบ 8 ทีมสุดท้าย ขณะที่ลิเวอร์พูลสามารถกรุยทางเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศสองปีติดซึ่งการได้เล่นจนถึงนัดสุดท้ายมีผลกับรายรับมากโข อีกทั้งผลงานในลีกเป็นทีมจากเมอร์ซี่ย์ไซด์ที่ทำได้โดนเด่นกว่ามาก

มีการเผยว่าหลังได้กลับไปเล่นยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกในซีซั่น 2016-17 ที่ได้เข้าชิงมาตลอดประกอบกับรักษาอันดับท็อปโฟร์ไว้ได้เหนียวแน่น ส่งให้”หงส์แดง” สร้างมูลค่ารายรับเพิ่มจาก 364.5 ล้านปอนด์ พุ่งเป็น 455.1 ล้านปอนด์ คิดเป็นตัวเลขที่เพิ่มขึ้นถึง 25% เลยทีเดียว โดยเป็นยอดเงินจากลิขสิทธิ์ถ่ายทอด คือรายรับมากที่สุดที่สโมสรได้รับ ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีก่อน(2017) ที่ได้ 154.4 ล้านปอนด์ กลายเป็นทะลุหลัก 200 ล้านปอนด์ อยู่ที่ 220.1 ล้านปอนด์ (เพิ่ม43%) เพิ่มขึ้นถึง 70 ล้านปอนด์ ซึ่งเหตุผลคือการ

นอกจากนี้ยังมีรายรับจากภาพลักษณ์ของทีม เช่น ขายเสื้อ ของที่ระลึกต่างๆ ที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 136.6 ล้านปอนด์ เป็น 154.3 ล้านปอนด์ คิดเป็น 13% ขณะที่รายรับของวันที่มีการแข่งขัน เพิ่มขึ้นจาก 73.5 ล้านปอนด์ เป็น 80.7 ล้านปอนด์ ซึ่งรายได้ที่เพิ่มมาเนื่องจากมีเกมบอลยุโรปที่เล่นในบ้านเพิ่มขึ้นมานั่นเอง

จากนี้เชื่อว่าความยิ่งใหญ่ที่เหล่าเดอะ ค็อปรอคอยใกล้เป็นความจริงเข้าไปทุกที ขณะเรื่องการตลาดซึ่งสร้างรายได้มาเกื้อหนุนทีมให้ทำผลงานเยี่ยมก็กำลังจี้ติดเจ้าพ่อด้านการตลอดอย่างกระชั้นชิดและมีแววขึ้นทาบชั้นหากพวกเขายังคงรักษามาตรฐานไว้ได้

ซึ่งมันสวนทางกับแมนยูที่ต้องบอกว่าอยู่ในช่วง “สร้างทีม” ใหม่และไม่รู้เมื่อไหร่จะกลับมาทวงบัลลงก์เต้ยพรีเมียร์ลีกได้อีกครั้ง เหมือนที่ลิเวอร์พูลเคยประสบมาก่อนหน้านี้

Avatar photo